เจาะข่าวตื้น !
สนธิไม่อยู่ ผู้จัดการ เจาะข่าวตื้น
ไม่บอกว่ามหาวอเปลี่ยน ทั้งๆ ที่เขาแปรพักตร์ไปแล้ว !
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ 21 ก.ย. 59 คอลัมน์พิเศษ จัดถวายวัดพระธรรมกายโดยเฉพาะ พ่วงมหาเถรสมาคม ซึ่งมีสมเด็จช่วงเป็นประธาน แต่มีไฮไลต์ที่สำคัญ คือการนำภาพพระเซเลป นามว่า "ว.วชิรเมธี" ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย ได้เข้ารับตราตั้งตำแหน่ง "ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง" ในสังกัดวัดพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา สถานที่คือพระอุโบสถวัดปากน้ำภาษีเจริญ เวลา 14.00 น. ซึ่งล็อตนี้มีจำนวนพระสังฆาธิการทั้งสิ้น 60 รูป แต่ผู้จัดการก็ "เจาะจง" เอาเฉพาะพระมหาวอมาลง ก็คงจะคลางแคลงใจว่าไปมาอย่างไร ทำไมพระมหาวอถึงได้สลัดคราบพระนักวิชาการ หันไปรับตำแหน่ง "พระนักปกครอง" ซึ่งเป็นคนละเส้นทางที่เคยเดินมาโดยตลอด
ถ้าติดตามบทบาทของพระมหาวอมาโดยตลอดแล้ว ก็จะพบว่า พระมหาวอนั้นมีบทบาท 2 ทาง คือ ทางการเมืองนั้นแทบจะอยู่ในฝ่ายตรงกับข้ามกับพรรคไทยรักไทย (ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์) ซึ่งแน่นอนว่าบทบาทนี้ย่อมจะเป็นที่ถูกใจและเชิดชูบูชาของฝ่ายเสื้อเหลือง อันมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แห่งเครือผู้จัดการ นายสุทธิชัย หยุ่น แห่งเครือเนชั่น เป็นต้น เป็นผู้นำ รวมทั้งพลพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ในทางศาสนานั้น ในปี พ.ศ.2546 สมัยเรียนปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร. พระมหาวอ ได้ทำปริญญานิพนธ์เรื่อง "บทบาทการรักษาพระธรรมวินัยของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ศึกษาเฉพาะกรณีธรรมกาย" โดยอาศัยหนังสือที่ชื่อว่า "กรณีธรรมกาย" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.9 พธ.บ.) วัดญาณเวศกวัน นครปฐม มาเป็นแม่บท ฟันธงว่า "ธรรมกายเป็นอันตรายต่อสถาบันสงฆ์ ต่อพระพุทธศาสนาเถรวาท และต่อความมั่นคงของประเทศชาติ" เมื่อวิทยานิพนธ์นี้ถูกตีข่าวออกไปในสังคมไทย จึงทำให้มีการ "จับ" เอาพระมหาวอ มาเป็นโมเดล "พระน้ำดี" คู่กับพระพรหมคุณาภรณ์ ซึ่งอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับธรรมกายมาโดยตลอด
นั่นคือภาพของพระมหาวอที่สังคมไทยรับรู้รับทราบกันมานาน อย่างน้อยก็ราวๆ 10 ปี ซึ่งเป็นช่วงเกิดกรณี "เหลือง-แดง" ในประเทศไทย ทำให้ฝ่ายเสื้อเหลือง หรือฝ่ายอะไรก็ตามแต่ ที่ไม่เอากับธรรมกาย "เชื่อ" ว่าพระมหาวอคือพระฝ่ายตรงข้ามกับธรรมกาย และเป็นฝ่ายเดียวกับตน อย่างน้อยก็มีวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นเป็นหลักฐานอ้างอิง ถึงแม้พระมหาวอจะไม่เคยเผยแพร่ด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ออกมาพูดสนับสนุนทฤษฎีปริญญาโทของตนเองเลยซักครั้งก็ตาม แต่พระมหาวอก็ไม่เคย "ปฏิเสธ" ต่อการนำเอาวิทยานิพนธ์ของตนเองไปเผยแพร่ การนิ่งของพระมหาวอย่อมจะเป็นผลไปในทาง "ยอมรับ" ว่าตนเองเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับ "ธรรมกาย"
27 ก.พ.2558 เว็บไซต์ผู้จัดการ เคยนำเสนอบทความเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของ ว.วชิรเมธี โดยตั้งชื่อว่า เปิดโปงธรรมกายสุดอันตราย และในเดือนธันวาคม พ.ศ.2555 บัณรส บัวคลี่ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เคยเขียนในหัวข้อ "ว.วชิรเมธี เป้าเกลียดชังจากคนเสื้อแดง" และเหตุการณ์ทำนองเดียวกันอีกหลายครั้ง ช่วยตอกย้ำ "ภาพมหาวอ" ว่าเป็นพระสีอะไรในสังคมสงฆ์ไทย
ว.วชิรเมธี คำ ผกา และ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
แน่นอนว่า "บทบาททางสื่อ" ของ ว.วชิรเมธี ย่อมมี 2 ด้าน คือมีทั้งคนเห็นด้วยและคัดค้าน ดังกรณี เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นมือหนึ่งของเมืองไทยในด้านกาพย์กลอน เคยเขียนยกย่องพระมหาวอไว้ว่า
อ่านดูก็หรูเริ่ด !
แต่อีกด้านหนึ่งนั้น พระมหาวอก็ถูก "คำ ผกา" คอลัมนิสต์และนักจัดรายการทางวอยซ์ทีวี วิจารณ์อย่างหนักหน่วงเช่นกันว่า "งานของท่าน ว.วชิรเมธี มันเป็นยากล่อมประสาท หลอกขายกันไปวันๆ ไม่ได้ทำให้คนตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม มันเป็นการเอาตัวรอดคนเดียว...แขก เลยมองว่ามันเป็นการมอมเมาทางปัญญา สอนให้คนหลีกหนีปัญหา แล้วก็ทำให้มืดบอดต่อปัญหาของคนอื่นในสังคมด้วย คำพูดของ ว.วชิรเมธี มีอะไรที่ลึกซึ้งบ้าง ไม่มี แต่ทำไมคนถึงให้ความสำคัญ เพราะมันออกมาจากพระที่บอกว่าตัวเองอ่านพระไตรปิฎกเจนจบ เป็นศิษย์พุทธทาส” (มติชนออนไลน์ 19 ส.ค.53)
อ่านดูก็แหลวแตว (ภาษาเหนือ) แปลเป็นไทยกลางก็คือ เละเทะ !
พูดตามสำนวน "โน๊ต-อุดม แต้พานิช" เจ้าพ่อเดี่ยวก็คงจะเป็นว่า "แม่เจ้า หล่อนช่างกล้า เอาผ้าถุงไปเสียดสีกับผ้าสบงมหาวอ" ก็ไม่รู้เช่นกันว่า นี่จะเป็นผลให้ท่านวอย้ายตัวเองไปจำศีลอยู่ที่ท้องไร่ในจังหวัดเชียงรายหรือไม่ เพราะท่านบอกว่า อยู่กรุงแล้ววุ่นวาย สุขภาพแย่ งานหนังสือก็ไร้คุณภาพ สรุปว่า วอยซ์ทีวีจอหนึ่งล่ะ ที่ไม่ยินดีต้อนรับ ว.วชิรเมธี !
"อร่อยจนลืมกลับวัด"
สำนวนอมตะของ ว.วชิรเมธี หรืออีกนามหนึ่ง ว.ชวนชิม
ในฝ่ายธรรมกาย (รวมทั้งวัดปากน้ำ) ซึ่งกำลังถูกมรสุมมะรุมมะตุ้มอยู่ในขณะนี้ ก็รู้เหมือนกัน ว่าพระมหาวอ "วางตัว" อยู่ทางฝ่ายไหน หรือถูกเชิดไปในทิศทางใด แรกๆ นั้น ทางวัดปากน้ำก็วางเฉย เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่มีผลต่อตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แต่นานๆ ไปมันชักจะไม่แน่ใจ แถมธัมมชโยก็ออกจากคลองสามไม่ได้ งานนี้อะไรที่เป็นคุณหรือเป็นผลบวกต่อวัดปากน้ำและวัดพระธรรมกาย ก็จำเป็นต้องทำทั้งสิ้น และ "วอแหวน" ก็ถูกนำมาประดับนิ้วก้อย เพราะวิเคราะห์แล้ว เห็นว่า "บทบาทของมหาวอ เป็นที่ชื่นชอบและศรัทธาของฝ่ายตรงกันข้ามกับวัดปากน้ำและวัดพระธรรมกาย" การจะตีมหาวอเหมือนตีพุทธะอิสระนั้นทำไม่ได้ จะถูกโต้กลับ เพราะมหาวอมีภาพอันสวยงามเป็นดาราหน้าปกหนังสือหรืองานอีเว้นต์ ใครไปทำร้ายก็มีหวังถูกแม่ยกกรี๊ดใส่สนั่นเวที วิธีการอันวิเศษก็คือ "ดึงมหาวอให้หันหน้ามาเป็นพวก" เพราะถ้าดึงมหาวอมาเข้าพรรควัดปากน้ำได้ ก็เท่ากับปิดปากไมค์ทองคำไปแล้วหนึ่งไมค์ ที่เหลือก็คงไม่เท่าไหร่
ส่วนต้นทุนที่ใช้นั้นก็ไม่ต้องควักย่ามใครเลย ใช้วิธี "อัฐยายซื้อขนมยาย" ใช้ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานผ่านรัฐบาลนั่นเองเป็นตัวล่อ (เห็นลูกศิษย์มหาวอโวยวายมาหลายปีว่าอาจารย์ไม่ได้เป็น) ช่วงนี้วัดพระธรรมกายก็ได้เจ้าคุณไปเยอะแล้ว สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เอาไว้ฟ้าใสค่อยใส่กันเต็มที่เหมือนเอาปีละ 4 ด้ามครั้งก่อน วัดปากน้ำหรือก็เป็นเจ้าคุณกันล้นวัดแล้ว เหลือแต่หมาและแมวยังไม่ได้เป็น ให้มหาวอเป็นซะคนมันจะเสียหายอะไร มันมีแต่ได้กับได้ !
13 มกราคม 2559
สายวัดปากน้ำสืบทราบว่า "มหาวอก็อยากเป็นเจ้าคุณ" ก่อนหน้านั้น มหาวอเคยประกาศ "ยุติบทบาทพระนักวิชาการ" แต่จะขอเป็น "ครูบา" แต่ประกาศได้ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนใจ ในวันที่ 13 มกราคม 2559 มหาวอก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสมเด็จช่วง ในงานมอบโล่รางวัลการจัดการสิ่งแวดล้อม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดที่ มจร. วังน้อย รูปที่เดินตามหลังนั้นคือ พระราชวรมุนี หรือเจ้าคุณพล วัดสังเวช รองอธิการบดี มจร. และรองเจ้าคณะภาค 6 ซึ่งว่ากันว่าสนิทสนมกับ ว.วชิรเมธี
24 เมษายน 2559
ตกวันที่ 24 เมษายน 2559 คลื่นลูกที่ 2 ก็ตามมา พระมหาวอพร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปยังวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อถวายสักการะและสรงน้ำสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช งานนี้มี "เจ้าคุณพล-คนเมืองน่าน" เป็นพ่อสื่อ เอ๊ย เป็นพี่เลี้ยง เช่นเคย งานนี้นี่แหละ คือการ "รายงานตัว" อย่างเป็นทางการของมหาวอ ต่อเจ้าของสังกัดวัดปากน้ำ !
และแล้ว วันที่ 31 สิงหาคม 2559 ก็ลงเอย พระมหาวอเข้าวัดปากน้ำเป็นรอบที่ 2 คราวนี้ไปรับตำแหน่ง "ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงราย" เปิดเผยตัวตนว่า "ต้องการเป็นพระราชาคณะ" อย่างชัดเจน ต่อสาธารณชน !
ย้อนหลังกลับไปในปี พ.ศ.2555 หลังวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งมีการพระราชทานสมณศักดิ์ชั้น "เจ้าคุณ" ให้แก่พระสงฆ์ไทยทั่วประเทศและทั่วโลก เป็นประจำทุกปี ปีนั้นมีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ "คมชัดลึก" พาดหัวข่าว "ว.วชิรเมธี ชวดสมณศักดิ์อีกปี" ซึ่งนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในเวลานั้น ได้อธิบายว่า "แม้ว่า ว.วชิรเมธี จะมีผลงานที่เด่นชัด แต่ไม่เข้าหลักเกณฑ์และระเบียบใดๆ ของมหาเถรสมาคม (มส.) ทั้งสิ้น การพิจารณาสมณศักดิ์ต้องไล่ที่ระดับ ต้องดูโควตา โดยมีเสนอตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาส ทั้งนี้ ถ้าจะได้ก็ต่อเมื่อต้องเสนอแต่งตั้งให้เป็นกรณีพิเศษจริงๆ ไม่มีเกณฑ์ใดที่จะเสนอทั้งสิ้น"
หลักเกณฑ์ในการจะได้เป็นพระราชาคณะ หรือเจ้าคุณ ของพระสงฆ์ไทยเรานั้น ถ้าไม่มีผลงานโดดเด่นเอกอุแล้ว ก็ต้องมีเส้นระดับ "ตุ๊แป๊ะ" หรือ "พระแขกบางลำพู" โน่นถึงจะเข้าป้าย แต่สำหรับพระหนุ่มเณรน้อยเช่นพระมหาวอ ถึงจะมีดีกรีเป็นเปรียญเก้า ถึงจะมีชื่อเสียงโดดเด่น แต่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติ ซึ่งคุณสมบัตินั้น ทางมหาเถรสมาคมได้กำหนดไว้ว่า "ต้องเป็นพระสังฆาธิการ" ก็ตั้งแต่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง หรือเป็นเจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่ง ซึ่งมีฐานะสำคัญ ก็อาจจะได้รับการพิจารณา ซึ่งก็ขึ้นกับพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมอีกต่างหาก พระมหาวอออกจากวัดเบญจมบพิตร ไปอาศัยอยู่ในไร่เชิญตะวันบ้านเกิด ยังไม่ได้ยกขึ้นเป็นวัด ก็คือเป็นสำนักสงฆ์ จึงยังคงไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว
แต่การจะทำให้มีคุณสมบัติก็มิใช่เรื่องยาก ถึงแม้วัดเบญจฯจะไม่เอามหาวอ แต่มหาวอก็เคยเป็นศิษย์ในสำนักวัดพระสิงห์มาก่อน และนั่นเอง เส้นทางของพระมหาวอจากไร่เชิญตะวันจึงมาลงตรงวัดพระสิงห์อย่างบังเอิญ บังเอิญว่า ไร่เชิญตะวันนั้นอยู่ในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงรายก็อยู่ในเขตการปกครองของคณะสงฆ์ ภาค 6 ซึ่งภาคนี้มีรองเจ้าคณะภาคนามว่า "พระราชวรมุนี" หรือเจ้าคุณพล คนเมืองน่าน พี่ชายสุดเลิฟของมหาวอนั่นเอง คุมเกมกันอยู่ในภาค 6 ก่อนจะต่อสายไปวัดปากน้ำ ชั่งเป็นเส้นทางที่สวยงามและลัดตรง
การเข้าวัดปากน้ำรับตำแหน่งของพระมหาวอในครั้งนี้ ก็คือ การเริ่มต้นชีวิตของพระสังฆาธิการ ซึ่งก็คือ ข้าราชการในทางสงฆ์ จะมีจริยาพระสังฆาธิการคอยควบคุมอยู่ห่างๆ การจะวิจารณ์คณะสงฆ์ หรือแตกแถวไปทำอื่นใดตามใจเหมือนเดิมนั้น ไม่ได้ และเมื่อมหาวอสมัครใจจะเป็นเจ้าคุณแล้ว ก็ถือว่า..พร้อม ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า พระมหาวอจะได้เป็นเจ้าคุณ
ความพร้อมของพระมหาวอในครั้งนี้ ย่อมจะเกิดผลในทางปฏิกิริยาทางสังคมที่เคยมี ทั้งต่อวัดปากน้ำและวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปริญญานิพนธ์" ที่เคยระบุว่า "วัดพระธรรมกายอันตราย" นั้น ก็คงไม่สามารถจะยกขึ้นมาสนับสนุนแนวทางเพื่อต่อต้านธรรมกาย ของฝ่ายตรงข้าม ได้อีกต่อไป ในเมื่อพระมหาวอไปเข้าค่ายวัดปากน้ำแล้ว ซึ่งวัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายนั้น เป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นวัดเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน การเข้าวัดปากน้ำของพระมหาวอก็เท่ากับ "การเข้าไปช่วยเหลือธรรมกายให้รอดตาย" ในสภาวะวิกฤติ ทั้งนี้ก็ไม่มีอะไร ก็เพื่อแลกกับ "พัดยศพระราชาคณะชั้นสามัญ" อีกด้ามหนึ่ง ในบรรดาร้อยกว่าด้ามในปีนี้ หรือในปีหน้า เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม วันที่ 9 มีนาคม 2559 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ลงบทความพิเศษ เป็นการสัมภาษณ์ ว.วชิรเมธี ว่าด้วยเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งต่างๆ โดย ว.วชิรเมธี ได้ให้สัมภาษณ์มีใจความว่า..ชีวิตสงฆ์ ควรปราศจาก ยศ ทรัพย์ อำนาจ !
ชีวิตใครจะเป็นอย่างไร มิใช่เรื่องที่ใครจะหยิบยกให้ใคร แต่เป็น "เส้นทางที่เลือกเดินเอง" ผลสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจนั้น แน่นอนว่า "ทุกคนย่อมจะมีสิทธิในการเลือกทางเดินของชีวิต" พระมหาวอก็เช่นกัน เคยเลือกที่จะเดินออกจากวัดเบญจมบพิตรไปอยู่ในบ้านไร่ปลายนา ถึงวันนี้จะเปลี่ยนใจกลับมาอยู่ในชายคาพระอารามหลวง เคยประกาศว่า "ไม่เอา-ไม่เป็น" แต่ภายหลังก็กลับคำพูด นี่ก็ย่อมมีสิทธิ์เลือกคิดเลือกทำ ผิดถูกดีเลวอย่างไรนั้นอนาคตจะเป็นตัวบ่งบอก
แต่..แต่สำหรับปัญหาบ้านเมืองที่กำลังพัวพันนันนัวอยู่ในเวลานี้ ในเมื่อพระมหาวอถูกเชิดขึ้นเป็น "แนวหน้า" ต่อต้านธรรมกาย และเป็นไอดอลของพระน้ำดีที่เคยประกาศว่า "ชีวิตสงฆ์ ควรปราศจาก ยศ ทรัพย์ อำนาจ" ก็คงผิดคาด ในพิชัยสงครามนั้น เรียกว่า "เปลี่ยนม้ากลางลำธาร เปลี่ยนทหารกลางสนามรบ" ถือว่าผิดพิชัยสงคราม แต่ถ้าใครสามารถเปลี่ยนได้ ก็ย่อมจะได้เปรียบและมีผลต่อชัยชนะในที่สุด สุดแต่ว่าจะอยู่ในฝ่ายไหน ถ้าในฝ่ายตรงข้ามกับธรรมกาย (และวัดปากน้ำ) ก็ย่อมจะเพลี่ยงพล้ำ เพราะเสียขุนพลไป แต่ในฝ่ายธรรมกายและวัดปากน้ำ เดินหมากมหาวอเพียงตาเดียวก็กินถึง 2 แต้ม คือนอกจากจะสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ยังสามารถแปรแรงต้านให้เป็นแรงบวก ได้มหาวอมารับใช้ใกล้ชิดไปอีก..ตราบนานเท่านาน
มองอีกมุมหนึ่ง สำหรับฝ่ายตรงข้ามกับธรรมกาย ถามว่า ทำไมไม่สามารถรักษาพระมหาวอไว้ได้ คำตอบก็คือ นั่นนะสิ มีพระดี แต่ไม่สนับสนุน ปล่อยให้ทำมาหากินอยู่คนเดียว ดูอย่างพระแขก "อนิลมาน" นั่นปะไร เป็นถึงพระต่างชาติ มาพึ่งพาอาศัยใบบุญประเทศไทย ไม่มีเปรียญเลยซักชั้น แต่ก็ได้รับการขุนขึ้นเป็นเจ้าคุณ ขณะที่พระมหาวอ ลูกหลานไทยแท้ๆ เป็นเปรียญเอกอุ แต่กลับไม่มีคนสนใจจะส่งเสริม อ้างว่า "ขาดคุณสมบัติ" ครั้น ณ วันนี้ มหาวอหันหน้าไปพึ่งวัดปากน้ำ (และวัดพระธรรมกาย) มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ คำตอบอาจจะเป็นเพราะ 1. คาดหวังกับมหาวอมากเกินไป และ 2.ไม่ยอมช่วยเหลือกัน ปล่อยคนของตัวเองไปเป็นคนอื่น จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ใครมีเหตุและปัจจัยมากกว่าก็ย่อมจะ..ชนะ !
เราถามใจตัวเองมาโดยตลอด..
สุดท้าย..เราจึงตัดสินใจ !
เดินตามอาตมานะโยม (วู๊ดดี้ด้วย แพนเค๊กด้วย) จุดหมายปลายทางอยู่ไม่ไกล
เราจะไปพระนิพพาน ตามรอยหลวงปู่ติดนัดฮัน !
ทางนี้โยม ใกล้แล้ว ใกล้ถึงแล้ว
เร่งเท้าหน่อย เร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่ทัน.. 5 ธันวา !
อ้า..ถึงแล้วฮ่ะ นี่ไง วัดปากน้ำ
จุดหมายปลายทางของพวกเรา ชาววิมุตตยาลัย
ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก็นั่งรถเมล์สาย 10 หรือไม่ก็นั่งเรือด่วนที่ท่าเรือราชินีปากคลองตลาด ไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกับวิมุตตยาลัยเลยฮ่ะ บอกด้วยว่าขึ้นที่วัดปากน้ำ จะได้ไม่หลง อิอิ !
"พูดดี ขี้เต็มก้น"
(กดที่ภาพเพื่อฟังน้ำคำของ ว.วชิรเมธี ก่อนจะลดตัวเองลงเป็น..)
วรรคทองของ ว.วชิรเมธี
"ตัณหาไร้ขีดจำกัด เหมือนทะเล ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม" ถ้าเรารู้จักธรรมชาติของตัณหา เราจะบอกตัวเองว่า..โอ อย่าตามเขาไปนะ "เดี๋ยวนี้คนจำนวนมาก ประสบความสำเร็จในฐานะนักธุรกิจ แต่ล้มเหลวในฐานะมนุษย์ นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากๆ" "คนเรามีศักยภาพที่จะเป็นอะไรต่อมิอะไรได้เยอะแยะมากมาย แต่สุดท้าย ก็ลดตัวเองลงมาเป็นแค่..สัตว์เศรษฐกิจ"
ปล.อาตมาไม่ได้ตามตัณหา แต่อาตมาตามเจ้าคุณพลไปวัดปากน้ำ อย่าเข้าใจผิด เหมือนที่อาตมาเคยพ่น เอ๊ย พูดไว้นั่นแหละ "อย่างมงายในวิทยาศาสตร์ แต่ให้งมงายในคำพูดของอาตมาเองไง"
"วอ" ฟังไว้นะ ฟังด้วยหู จำใส่หัว เอาไว้ให้ดี เสียงนี้จะมี 2 ทาง ทางแรก ถ้าฟังด้วยความซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อพระธรรมคำสอน ก็จะเป็น "เสียงอารมณ์กรรมฐาน" พิจารณานานๆ ก็อาจจะระงับซึ่งกิเลสตัณหาความทะเยอทะยานเสียได้ ทางที่สอง ถ้าฟังด้วยความทะยานอยาก ที่วอเรียกว่า "ตัณหา" นั่นแหละ ก็จะกลายเป็นเสียง "เคาะกะลา" แทน แล้ววอก็จะวิ่งแจ้นไปตามความอยาก อย่างหน้าด้านหน้าทน ไม่ต่างจาก "แพศยา" วันไหน "วอ" ได้เป็นเจ้าคุณ เพราะความอยากได้ใคร่มี วันนั้นแหละ จะบอกให้โลกรู้ว่า "วอฟังเป็นเสียงเคาะกะลา" หาใช่เสียงกรรมฐานไม่ ยศถาบรรดาศักดิ์ที่วอได้มา จึงมิใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาโดยความชอบธรรม อันเกิดจากคุณงามความดีที่ผู้คนยอมรับ หากแต่มันเป็นสัญลักษณ์แห่ง "ของในกะลา" มีหมาเท่านั้นที่กิน !
ถ้าจะถามมหาวอว่า อะไรที่ขายได้ราคาแพงที่สุด ?
คำตอบก็น่าจะเป็น "ขายอุดมการณ์" ไงฮะ
ทางไปสวรรค์นิพพานยังสู้ไปวัดปากน้ำไม่ได้ !
เณรคำ กับ วอ
ใครตอแหลเก่งกว่าใคร ?
ระหว่าง
ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด กับ ชีวิตสงฆ์ ควรปราศจาก ยศ ทรัพย์ และอำนาจ
วอเปล่า "ไม่ล้างเท้า" ก่อนขึ้นธรรมาสน์ นะ แต่ว่าวันนี้..วอ "ขี้" ใส่ธรรมาสน์ เสียแล้ว !
บทวิเคราะห์ "ตื้นๆ" จากผู้จัดการ
ถึงยุค “ธรรมกาย” อ่อนแอ ไร้พลังหนุน เร่งปฏิรูปวงการสงฆ์ ดึงพระดีคืนสังคม
ผู้จัดการ พาดหัวข้อคอลัมน์ว่า "ถึงยุคธรรมกาย อ่อนแอ ไร้พลังหนุน เร่งปฏิรูปวงการสงฆ์ ดึงพระดีคืนสังคม" ถามว่าธรรมกายอ่อนแอจริงหรือ หรือว่าเพียงแต่รอจังหวะเอาคืนเท่านั้น อีกทางหนึ่ง ต้องถามกลับว่า ฝ่ายไหนกันแน่ที่อ่อนแอ เพราะนอกจากจะไม่สามารถทำอะไรธัมมชโยได้แล้ว มหาวอซึ่งเป็นหัวหอกชั้นดีของฝ่ายนี้ ก็ถูกดึงไปอยู่ในค่ายวัดปากน้ำ อันเป็นพี่น้องกับธรรมกายอีก หลังจาก "สนธิ ลิ้มทองกุล" หัวหน้าค่ายใหญ่ ในนาม "ลูกพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานของหลวงตามหาบัว" ต้องเข้าไปนอนซังเต สิ้นลายและสิ้นศรัทธาต่ออุดมการณ์ "การเมืองต้องโปร่งใสและไม่โกง" ไปแล้ว เมื่อวาน ลูกชาย "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" ประธาน กปปส. ซึ่งไล่ยิ่งลักษณ์จนเสียอำนาจ ภายหลังไปบวชที่สวนโมกข์ของพุทธทาสภิกขุ ก็ถูกศาลสั่งจำคุกในข้อหา "บุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติ" รับเคราะห์รับกรรมตามกันหลัดๆ แถมด้วยข่าว "มหาวอเข้าวัดปากน้ำ" ซ้ำเติมบาดแผลให้กว้างออกอย่างอุกฉกรรจ์ เลือดไหลไม่หยุด ระดับบิ๊กๆ ของฝ่ายพันธมิตรและ กปปส. โดนกันทั่วหน้า ดังวลีว่า "แตกยะย่าย พ่ายจะแจ"
ถามว่า ถึงยุคธรรมกายอ่อนแอ ไร้พลังหนุน จริงหรือ ?
ที่มา : ไทยรัฐ-ผู้จัดการ : 22 กันยายน 2559 |
WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. PHONE. 702-384-2264 |