2 WAYS !

แพลมผลตีความกฤษฎีกา

ใครชงตั้งสังฆราชก็ได้

ไม่ว่าจะเป็นมหาเถรสมาคมหรือรัฐบาล

อา..ถ้างั้นก็ยิ่งกว่าสำนวนไทยโบราณที่ว่า "สองคนหาม สามคนแห่" อีกซีฮะ เพราะว่าถ้าตีความเช่นนั้น ก็แสดงว่ามติมหาเถรสมาคมถูกต้อง เมื่อมติ มส. ใช้ได้ แล้วทำไมรัฐบาลไม่ยอมใช้ ถามว่าใช้เหตุผลอะไรไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้ารัฐบาลอ้างว่ามีผู้ประท้วง ต้องรอให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อยเสียก่อน เอ้าถ้างั้น ถ้ารัฐบาลชงตั้งสังฆราชเอง แล้วถ้ามีผู้ประท้วงขึ้นมาล่ะ จะต้องดองเรื่องเอาไว้อีกใช่หรือไม่ !

ถามว่า ถ้ากฤษฎีกาตีความเช่นนี้ มันเป็นผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่ หรือว่าทำให้ยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม เพราะไอ้ที่เขาส่งเรื่องให้ตีความนั้น ก็เพื่อให้หาทางออกของปัญหา มิใช่ให้หาทางเพิ่มปัญหา ไม่งั้นจะมีกฤษฎีกาเอาไว้ทำไม แต่กฤษฎีกาก็อาจจะโต้แย้งได้ว่า เอ้า ! เขาให้พวกเราตีความ เขาไม่ได้แก้ไขกฎหมาย ถ้าแก้ไขกฎหมายเสียใหม่ เหมือนสมัยทักษิณออก พรก. ก็จบเรื่อง แต่นี่ไม่ยอมแก้ไขกฎหมาย แต่ให้เราตีความหาทางออก เราก็หาทางออกเพิ่มอีก 1 ทาง รวมเป็นสองทาง ชี้ทางให้แล้ว จะออกหรือไม่ออก ก็แล้วแต่รัฐบาล เพราะงานของกฤษฎีกาเสร็จแล้ว แบบนี้ก็รุงรังพันเตซีฮะ !

ถามต่อไปว่า ถ้ามีคนไปยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครองให้ตีความบ้าง คานอำนาจของรัฐบาล งานนี้ก็คงไม่จบง่ายๆ หรอก เพราะศาลย่อมใหญ่กว่ากฤษฎีกา ปัญหาวันนี้มันแน่แช่แป้งแล้วว่า สมเด็จช่วงอดเป็นสังฆราชแน่ แต่ศิษย์สมเด็จช่วงจะยอมหรือ นอกเสียจากว่า สมเด็จช่วงท่านจะยอมเสียสละเพื่อชาติ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสเห็นสปิริตของสมเด็จช่วงไหม เพราะถึงจะเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดชาติไหน จะได้เป็น..สังฆราช อิอิ !

ไม่ต้องทำแล้วครับหลวงพ่อ เขาเปลี่ยนห้องสอบแล้ว

เรากลับวัดเถอะ รถเบนซ์รออยู่ครับ !

ลือหนักกฤษฎีกาตีความเสนอนามสังฆราช เริ่มที่ มส. หรือนายกฯ ก็ได้

ผอ.พศ. ยันไม่มีแก้ มาตรา 7 สถาปนาสังฆราช ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ขณะที่กระแสข่าวลือสะพัด กฤษฎีกาตีความมาตรา 7 แล้ว ให้มหาเถรฯหรือนายกรัฐมนตรีเสนอนามสมเด็จพระสังฆราช ด้านเจ้าคุณประสาร ชี้ตีความมาอย่างไรก็ต้องเสนอนามสมเด็จวัดปากน้ำอยู่ดี เพราะอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์

วันนี้ (8 ก.ค.) นายพนม  ศรศิลป์  ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)  กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งผลการตีความ มาตรา 7 ว่าด้วยการเสนอสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 ให้แก่รัฐบาล ว่า พศ. ยังไม่ทราบว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความออกมาเช่นไร เพราะมีการแจ้งผลตีความไปยังรัฐบาล ไม่ได้แจ้งมายัง พศ. แต่ยืนยันว่าการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดตามสมณศักดิ์เพื่อเสนอสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 โดยมหาเถรสมาคม (มส.)ได้มีมติเสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้นมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและมีการลงมติเป็นเอกฉันท์โดยยึดตามโบราณราชประเพณีและ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ
   
ผอ.พศ. กล่าวต่อไปว่า การเสนอสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2535  แต่การตีความของแต่ละฝ่ายอาจจะแตกต่างกันไป โดยในส่วนของ พศ. และ มส. ยึดตามโบราณราชประเพณีและกฎหมายคณะสงฆ์ อย่างไรก็ตาม หากนายกรัฐมนตรีพิจารณาผลตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วมีคำสั่งเช่นไร  ทาง พศ. ก็พร้อมปฏิบัติตามและจะหารือกับคณะสงฆ์เพื่อดำเนินการต่อไป ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวรัฐบาลจะเสนอแก้ไขมาตรา 7 ให้สอดคล้องกับผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยนั้น ยืนยันว่า ขณะนี้ไม่มีสัญญาณทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรัฐบาลมายัง พศ. และไม่มีประเด็นที่จะต้องแก้ไข จึงคาดว่าไม่น่าจะมีเรื่องนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ถือเป็นเรื่องใหญ่ หากจะมีการแก้ไขรัฐบาลจะต้องขอความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น พศ. มส. แต่รัฐบาลยังไม่มีการแจ้งในเรื่องนี้ ซึ่งตนก็รู้สึกเป็นห่วงถึงกระแสข่าวดังกล่าว เพราะอาจทำให้คณะสงฆ์วิตกกังวลในเรื่องนี้  

พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทราบว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่แถลงเรื่องการตีความ มาตรา 7 แต่จะส่งผลให้ทางรัฐบาล แต่ก็มีกระแสข่าวออกมาว่า ผลการตีความนั้น กระบวนการเสนอนามสามารถเริ่มจากมหาเถรสมาคม (มส.) หรือนายกรัฐมนตรีก็ได้ ซึ่งคณะสงฆ์คงต้องรอคำยืนยันจากรัฐบาลอีกครั้ง หากผลตีความออกมาเช่นนั้นจริง ในมาตรา 7 ยังมีระบุไว้อีกว่า การเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ต้องเสนอรูปที่อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์  ดังนั้นไม่ว่ากระบวนการจะเริ่มที่ฝ่ายไหน สมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ก็ยังคงเป็นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ จึงขอให้รัฐบาลเดินหน้าสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ไม่ควรประวิงเวลาอีกต่อไป

ที่มา : เดลินิวส์ :  10 กรกฎาคม 2559