หลายเดือนก่อน หลังจากมีภาพไปรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อดำรงตำแหน่งเป็น
"ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงวัดพระสิงห์"
ก็มีใครบางคน จรดปากกาเขียนถึงอาตมภาพในทางเสียหายว่า
การรับตำแหน่งนั้น เป็นการแสดงถึงความกลับกลอกเหมือนศรีธนญชัย
(เพราะแต่ไหนแต่ไรมา
อาตมาไม่เคยสนใจเรื่องตำแหน่งแห่งที่ในทางคณะสงฆ์เลย ซึ่งเรื่องนี้
แม้จนบัดนี้ ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่)
ถามว่า ถ้าเช่นนั้น ไปรับตำแหน่งทำไม
?
ขออธิบายสั้นๆ ง่ายๆ
สำหรับคนที่อยู่ห่างไกลถึงสหรัฐอเมริกา
(ต้นเรื่องที่กล่าวหา) ซึ่งอาจจะไม่ค่อยรู้ความจริงว่า
"อาตมาอยู่วัดพระสิงห์มาแต่อายุเพียง ๑๖ ปี
เรียนธรรมะบาลีที่วัดนี้ จนได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค,
บวชพระก็บวชที่วัดนี้
หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เป็นพระอุปัชฌาย์
อาตมาก็เคยเป็นพระเลขานุการของท่านมาตั้งแต่ต้นแต่อายุ ๑๘ ปี
ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรจนถึงบวชเป็นพระภิกษุ
เมื่อจบเปรียญ ๙ ที่กรุงเทพฯ อาตมาย้ายกลับมาเชียงราย
ก็มาอยู่ในสังกัดเดิม ซ้ำยังเป็นเปรียญธรรม ๙ รูปแรกของวัด
คือวัดพระสิงห์ (พระอารามหลวง)
ไม่ได้เหาะข้ามห้วยมาจากที่อื่น
เมื่อกลับมาแล้ว
หลวงพ่อเคยขอให้มาเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสแต่เมื่อปี ๒๕๕๕
อาตมายังไม่อยากรับ
ประวิงเวลาไว้
เพราะใจอยากทำงานเผยแผ่พระพุทธ-ศาสนามากกว่างานปกครองของคณะสงฆ์
ครูบาอาจารย์ท่านก็เข้าใจลูกศิษย์ซึ่งท่านรักเหมือนลูก
มาถึงปีนี้ ผู้ใหญ่ใน
"เบื้องบน"
ถามมาอีก
เพราะอายุ ๔๓ พรรษา ๒๓ อยู่พระอารามหลวงมา ๒๖ ปีแล้ว เป็นมหาเถระแล้ว
ไม่ใช่พระเด็กๆ อีกต่อไป ควรมอบหมายให้รับภาระธุระพระศาสนาอย่างเป็นทางการ
ทั้งผลงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ไม่ใช่น้อยๆ (ว่าตามคำของท่าน)
ทั้งครู ทั้งศิษย์ จึงยอมอนุวัตร
ตามทางการ
อาตมาจึงรับตำแหน่งของทางการ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสฯ
"ฝ่ายเผยแผ่"
เหมือนเดิม
และเมื่อเป็นแล้ว ก็ไม่ได้หลงไปกับโลกธรรม ไม่ได้ย้ายไปไหน
ยังพอใจกับนามปากกา ว.วชิรเมธี ธรรมดาๆ
ยังคงอยู่ทำงานเผยแผ่ต่อไปที่ไร่เชิญตะวันตามปกติ
ตำแหน่งแห่งที่ ที่ท่านประทานมา
ก็เพราะฟ้าบันดาล
ทั้ง
"วัง"
และ
"วัด"
ท่านประสานเสียง
แกมกำชับขอให้รับไว้
ไม่ใช่ไปกราบกรานอยากได้ อย่างที่มี
"พระอลัชชี"
บางรูปพยายามกล่าวหาด้วยข้อความรุนแรง
เรื่องนี้ เข้าใจได้ง่ายมาก
ดูอย่างท่าน
ป.อ.ปยุตฺโต
หรือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
องค์ใหม่ก็ได้ ท่านก็ทำงานของท่านไป ไม่เคยอยากจะได้ใคร่จะมีอะไร
ปิดทองหลังพระไป เมื่อทองล้นออกมาหน้าพระ วันดีคืนดี
"หลวง"
หรือราชการก็โปรดให้ท่านเป็นสมเด็จฯ
เมื่อเป็นแล้ว ท่านก็ไม่ได้หลงไปกับโลกธรรม ดังท่านกล่าวความในใจว่า
"พระนั้น จะแต่งตั้งไปชั้นไหน ชั้นไหน
ก็ยังเป็นพระอยู่เหมือนเดิม ทางพระพุทธศาสนา ท่านไม่นิยมถามว่า
"จะเป็นอะไร" แต่สำคัญที่ว่า "จะทำอะไร" ให้เรื่อง "เป็น"
มาเกื้อหนุนเรื่อง "ทำ" ให้ได้ ท่านจึงว่า "ให้เป็นนั่นเป็นนี่"
เพื่อจะได้ "ทำนั่นทำนี่" ได้สะดวก"
เพราะฉะนั้น
คนที่
"รู้ผิด คิดเอา
เดาเก่ง"
มองการรับตำแหน่งของอาตมา เป็นเรื่องการเมืองในคณะสงฆ์
หรือมองไปว่าได้มาเพราะเข้าหาผู้ใหญ่
ทั้งยังพยายามกล่าวหาอาตมาเลื่อนลอยด้วยคำใหญ่คำโตนั้น
ก็ขอโปรดเข้าใจเสียให้ถูกต้องตามนี้ อย่าเอาไปตีความเลอะเทอะ
หยุดการปรุงแต่งแบบเด็กๆ เสียทีเถิดพ่อคุณเอ๋ย
ดีร้าย หากวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ระวังปาก จะกลายเป็นการ
"หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"
เสียเปล่าๆ
ส่วนที่มีภาพไปกราบหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ
แล้วเอามาเขียนว่าไปประจบท่านนั้น ก็ขอเตือนว่า เวลาจะเขียนอะไร
ดูคำอธิบายใต้ภาพด้วย
เพราะภาพพวกนั้น มีปรากฏอยู่ในเฟซบุ๊คของอาตมาเอง
มีคำอธิบายกำกับด้วยว่าไปทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน
ภาพคู่สมเด็จฯที่เห็น คืองานไปรับรางวัล
"วัดที่จัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น"
จัดที่ มจร.วังน้อยเมื่อราวเดือนกุมภาพันธ์ และครั้งที่สอง
หลวงพ่อสมเด็จฯ นิมนต์ไปพบเมื่อเดือนเมษายน เพื่อแจ้ง
"พระราชดำริ"
ด้านการศึกษาภาษาบาลีที่ทรงฝากมา โดยขอให้ช่วยรับเป็นภาระธุระ
เพราะอาตมาสื่อสารกับสังคมได้ง่าย มีคนฟังเยอะ
ทั้ง
"เบื้องบน"
ท่านก็ทรงกำชับมาหลายครั้ง
เรื่องการศึกษาภาษาบาลีในโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่
เพราะเห็นว่า ท่าน ว.วชิรเมธี นี้ เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค
และได้เขียนหนังสือเรื่อง
"เปรียญ ๙
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์"
เพื่อเป็นแนวทางฟื้นฟูการศึกษาภาษาบาลีตามพระราชประสงค์
และที่สำคัญจะต้องขอพระราชทานคำนำเป็นกรณีพิเศษ หลวงพ่อสมเด็จฯ
วัดปากน้ำ ในฐานะประมุขสงฆ์ และแม่กองบาลีสนามหลวง
ก็อยู่ในฐานะที่จะต้องเขียนสัมโมทนียพจน์ด้วย
คนเขาไปปรึกษาหารือเรื่องงานพระศาสนาล้วนๆ มีพยานเป็นร้อย เป็นพัน
ต่อหน้าธารกำนัล อย่างโปร่งใส
แต่คนเขลาบางคน เอาไปเขียนข่าวเชิงเสียหาย
ว่าผู้เขียนไปประจบพระผู้ใหญ่ขอยศศักดิ์ ช่างน่าละอายเหลือเกิน ที่คิด
ที่เขียน อะไรออกมา โดยไม่สนใจหาข้อเท็จจริง ซึ่งมีอยู่ดาดดื่น
มีอยู่ในคำอธิบายใต้ภาพที่ตัวยกมาด่านั่นเองเสียด้วยซ้ำ
จึงขอแจ้งญาติโยมทั้งหลายได้ทราบ ว่าอย่าได้หลงเชื่ออย่างผิดๆ
ตามที่มีคนเขียนข่าวเลอะเทอะเผยแพร่ออกไป
(ว.วชิรเมธี)
|