ขู่เล่นงาน !

เจ้าคณะผู้ปกครองวัดพระธรรมกาย

มีตำแหน่งแล้วไม่ทำงาน ถือว่าละเว้น !

ซ้าย : สมเด็จสมศักดิ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง

ขวา : มหาสายชล เจ้าคณะภาค 1

อุ๊ยตาย ! ถ้างั้น "มหาสายชล" เจ้าคณะภาค 1 เด็กเส้นของ "สมเด็จสมศักดิ์" เจ้าคณะใหญ่หนกลาง หลานชายสุดเลิฟของ "สมเด็จนิยม" วัดชนะสงคราม ก็ฝันร้ายซีคะ เพราะว่าทั้งสมเด็จสมศักดิ์และมหาสายชล ล้วนแต่เป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง อันมีวัดพระธรรมกายอยู่ในอำนาจ แต่เท่าที่ทราบ นับตั้งแต่มหาสายชลได้เป็นเจ้าคณะภาคหนึ่ง ในปี 2554 ถึงปัจจุบันนี้ก็เลย 5 ปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นมหาสายชลทำงานอะไรในตำแหน่งเจ้าคณะภาคหนึ่งเลย นอกจากการรีบ "ขอเลื่อนสมณศักดิ์" ให้แก่ตนเอง แค่ 5 ปี ฟาดไปแล้ว 2 ขั้น ไวกว่าถั่วงอก ปีหน้าอาจจะขอ "ชั้นธรรม" เพื่อต่อคิวเป็นสมเด็จพระสังฆราช !

นี่แหละฮ่ะ ! สองพระหน่อ ศิษย์วัดชนะสงคราม คู่นี้แหละ ที่เอาตำแหน่ง แต่ไม่เอาการเอางาน ปล่อยให้คดีความธรรมกาย "คาราคาซัง" พอตำแหน่งว่างก็รีบตั้ง "พรรคพวก" เข้าไปกินตำแหน่ง "อ้างว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในบรรดาพระไทย 3 แสนรูป" แต่พอมีคดีกลับ "นั่งทับขี้" เอาไว้ ปล่อยให้เลอะเทอะเหม็นคลุ้งไปทั้งเมือง บุญหนักศักดิ์ใหญ่ซะเหลือเกินพ่อคุณ !

แต่ก็อย่างว่า จะให้ "สมเด็จช่วง" ท่านสั่งปลด "สมเด็จสมศักดิ์" เหมือนปลดเจ้าคุณเสนาะ ก็ทำไม่ได้อีก เพราะขืนเอาสมเด็จสมศักดิ์ซึ่งอ่อนแอออกไป คนใหม่ก็จะเล่นงานธรรมกายให้ลำบาก เลยต้องเลี้ยงกันเอาไว้ก่อน ยิ่งอ่อนก็ยิ่งดี ส่วนสมเด็จสมศักดิ์ก็ไม่กล้าปลดมหาสายชล เพราะขืนปลดก็เท่ากับ "ยอมรับ" ว่าตัวเองตั้งคนผิด เล่นเส้นเล่นสาย เอาหลานสมเด็จนิยมมาเป็นเจ้าคณะภาคหนึ่ง เสียศักดิ์ศรีของ "ศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์สมเด็จพระมหาสมศักดิ์" หมด เรื่องทิฐิพระมันยอมได้ซะที่ไหน เรื่องมันเลยรุงรังพันเตอยู่อย่างนี้แหละฮ่ะ ท่านพระครู คอยดูก็แล้วกัน ว่าดีเอสไอจะแค่ขู่เหมือนเคยหรือไม่ !

DSI กร้าว ใครช่วยธัมมชโยต้องรับผิดทางกฎหมายด้วย

DSI เข้ม ประกาศลั่น "ใคร" ให้การช่วยเหลือ "พระธัมมชโย" ต้องรับผิดทางกฎหมายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น "ผู้ปกครองคณะสงฆ์" หรือผู้ให้การช่วยเหลืออื่นๆ ด้าน "ผอ.พศ." ชี้ถ้าเข้ามอบตัวแล้วไม่ได้รับการประกันตัว จะถูกปลดผ้าเหลืองทันที อังคารที่ 6 ธันวาคม 2559 เวลา 08.18 น.

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวในรายการ "เจาะลึก ทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์" ถึงความคืบหน้าการนำตัวพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปดำเนินคดีตามกฎหมายว่า ในขณะนี้ได้ขอติดต่อพบกับพระราชภาวนาจารย์ หรือ "พระทัตตชีโว" ซึ่งตนได้คุยกับเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่าขอพบเพื่อพูดคุยในช่วงสัปดาห์นี้

เมื่อถามว่า ทางพระราชภาวนาจารย์อาจจะเกี่ยงงอน เนื่องจากทางตำรวจไปแจ้งความดำเนินการคดีในฐานะรักษาการณ์เจ้าอาวาส ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่นำตัวพระลูกวัดคือพระธัมมชโย ส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตามหมายจับ จะเป็นอุปสรรคหรือไม่นั้น นายพนม กล่าวว่า เรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ห่วงเหมือนกัน และหากเป็นเช่นนั้น ทางเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีคงจะใช้อำนาจการปกครองคณะสงฆ์ ที่จะบังคับใช้กฎหมายทางคณะสงฆ์ บังคับให้ต้องมาเจอ ถ้าขอพบไม่ให้พบ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าถ้ามีการมอบตัวแล้วหากไม่ได้รับการประกันตัว ก็ต้องถูกปลดผ้าเหลือง

ด้านนายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 สำนักการสอบสวน กล่าวว่า วันนี้ ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะมีการประชุมคือ

1.เรื่องของการเตรียมความพร้อม การออกหมายค้นต่างๆ การสอบสวน การส่งตัว

2.เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่ ซึ่งจะต้องดูเรื่องกลุ่มปกครอง ว่ามีการปฏิบัติตามหน้าที่หรือไม่ รวมถึงกลุ่มที่ช่วยเหลือผู้กระทำผิดมีพฤติการณ์เข้าข่ายหรือไม่

ต่อข้อถามว่า เรื่องที่ 2 ที่บอกว่า "ปฏิบัติตามหน้าที่หรือไม่" หมายถึงใคร นายขจรศักดิ์ กล่าวว่า กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับในทางปกครองคณะสงฆ์ คือรักษาการเจ้าอาวาส  รวมถึงผู้ปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับชั้น และกลุ่มผู้ช่วยเหลือด้วย ก็ต้องมาดูกัน ซึ่งการช่วยเหลือก็ผิดตามกฎหมายอยู่แล้ว และอาจจะต้องรวมถึงผู้ที่จะต้องมีอำนาจตรวจค้น ก็คงต้องคุยกันในชุดพนักงานสอบสวน ทั้งนี้จะมานั่งไล่กันเลยว่า "ใคร" ไม่ทำตามหน้าที่ในการนำตัวพระธัมมชโยมาให้เจ้าหน้าที่ รวมทั้งหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือแก่ดีเอสไอในการนำตัวพระธัมมชโยออกมา หมายถึง เจ้าคณะใหญ่หนกลางถึงระดับล่าง หากไม่ดำเนินการนำตัวพระธัมมชโยออกมา ก็ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย เพราะทุกคนก็มีหน้าที่ ถ้าเราปฏิบัติหน้าที่ช่วยกันก็จะไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินยังมีอยู่ เพราะหลักฐานปรากฏก็จะต้องมาดูว่าสมควรเปิดคดีหรือไม่

ถามว่าวันนี้จะมีข้อสรุปเรื่องหมายค้นที่ชัดเจนหรือไม่นั้น นายขจรศักดิ์ กล่าวว่า เราต้องเตรียมความพร้อมหมด เพราะหากตัดสินใจเมื่อไรก็สามารถดำเนินการได้เลย ซึ่งในส่วนของดีเอสไอก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว

ที่มา : เดลินิวส์  : 6 ธันวาคม 2559