ไม่จ่าย !

ทนายสมเด็จช่วงโต้สรรพาการ

มีปัญหาอะไรไหม ?

อา..แบบนี้ท่านเรียกว่า หักด้ามพร้าด้วยเข่า จะเอาชนะแบบทะลุกลางปล้อง ผิดธรรมเนียมของทนายที่ต้อง "ประนีประนอม" ผิดมากให้ผิดน้อย ผิดน้อยก็ให้ผิดนิดหน่อย ผิดนิดหน่อยก็ขอให้..ปล่อยตัว แต่นี่ทนายสมศักดิ์กลับเสียงแข็ง "ไม่ผิด ไม่ผิด" จากผิดน้อยๆ มันก็ค่อยๆ เป็น..ผิดโตๆ โก้ซีฮะ อย่าลืมว่าสมเด็จช่วงท่านเป็นถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราชนา จะต่อต้านอำนาจรัฐได้อย่างไร นี่มันทนายพรรคเพื่อไทยหรือของวัดปากน้ำกันแน่ ?

เรื่องจ่าย-ไม่จ่าย จึงถือว่าเป็นประเด็น "สุดท้าย" ที่จะไปสรุปกัน แต่นี่กลับเอาคำตอบสุดท้ายมา "เฉลยก่อน" มันก็เลยกลายเป็นการท้าทายอำนาจรัฐไป ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ขอได้โปรดพิจารณา อย่าลืมนะครับว่า ทางการเขามีอำนาจ "อายัดทรัพย์" เหมือนธัมมชโยโดนนั่นแหละ แต่นั้นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ถ้าบัญชีสมเด็จช่วงโดนอายัดและยึดทรัพย์ มันจะหนักกว่าธัมมชโยอีกเป็นร้อยเท่า

ความจริงนะ เงิน 6-7 ล้าน แค่นี้ขี้ปะติ๋ว แทบไม่มีมูลค่าอะไรในวัดปากน้ำเลย ใครก็ได้ อาสาออกให้ไป ตุ๊แป๊ะเองเห็นว่ามีเป็นร้อยล้านมิใช่หรือ อีแค่นี้จะทะเลาะไปทำไม ดูอย่างธรรมกายซี บอกว่า "ญาติโยมลงขัน" ไม่กี่วันได้ 600 ล้าน เอาไปจ่าย ถามว่าเงินใครล่ะ เรื่องแบบนี้ทำไมคิดทำ ?

มีน่ะมี แต่ไม่จ่าย !

ทนายยันสมเด็จช่วงไม่ต้องเสียค่าปรับ 1.6 ล้าน

ทนายวัดปากน้ำ ยืนยัน สมเด็จช่วง ไม่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตปรับรถเบนซ์โบราณ 1.6 ล้านบาท ชี้เป็นแค่ผู้รับบริจาค วอนผู้ใหญ่ในบ้านเมืองใช้ดุลยพินิจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ถูกกล่าวหาในเรื่องไม่ถูกต้อง ด้านชาวพุทธศรีลังกา ไม่สบายใจรัฐบาลไทยย่ำยีวัด-พระสงฆ์ พร้อมช่วยปกป้องพุทธศาสนาในประเทศไทย อังคารที่ 2 สิงหาคม 2559 เวลา 16.28 น.

วันนี้ (2 ส.ค.) ดร.สมศักดิ์ โตรักษา ทนายความวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กล่าวว่า ตามที่ได้แถลงเกี่ยวกับเรื่องรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 ที่อยู่ในการครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่า ท่านเป็นเพียงผู้รับบริจาค ไม่มีความผิดตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้แถลงไปก่อนหน้านี้นั้น หลังจากที่ตนได้แถลงข้อเท็จจริงออกไปเกี่ยวกับเรื่องรถเบนซ์โบราณแล้ว ขณะนี้ทางดีเอสไอก็ไม่ได้มีการแจ้งข้อมูลอะไรกลับมา หรือติดต่อมาแต่อย่างใด
 
ดร.สมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่กรมสรรพสามิต จะมีการประเมินภาษีรถเบนซ์โบราณใน 2 ส่วน คือ การนำรถยนต์มาประกอบภายในประเทศ และจดทะเบียนไม่ถูกต้อง มีโทษเปรียบเทียบปรับคิดเป็นเงิน 6 ล้านบาท 2.ผู้ครอบครองมีโทษเปรียบเทียบปรับ 2-10 เท่าของเงินภาษีที่ขาด หรือคิดเป็นเงิน 1.6 ล้านบาท เพื่อแจ้งต่อดีเอสไอเจ้าของคดีให้ดำเนินการนั้น  เรื่องเงินภาษีในส่วนของผู้ครอบครองที่ขาด 1.6 ล้านไม่เกี่ยวกับ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เนื่องจากมาตรา 161(1) ตามพ.ร.บ.สรรพาสามิต พ.ศ.2527 ได้ระบุหลักดำเนินการไว้ชัดว่า ผู้ครอบครองต้องรู้ว่า เสียภาษีไม่ครบกฎหมายมีหลักอยู่เท่านี้  ซึ่งสมเด็จท่านไม่รู้ว่า ผู้ประกอบการเสียภาษีไม่ครบ เพราะท่านเป็นเพียงผู้รับบริจาครถเบนซ์มาทั้งคัน ซึ่งหากมีการเก็บภาษีที่ขาดตามกฎหมายสรรพสามิตต้องไปเรียกเก็บภาษีกับอู่ หรือ ผู้ประกอบการ
              

ดร.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าในการทำหนังสือชี้แจงไปยังนายกรัฐมนตรี และ รมว.ยุติธรรม กรณีการดำเนินการของดีเอสไอในคดีรถเบนซ์โบราณ ที่มีความเชื่อมโยงไปยัง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ขณะนี้อยู่ในระหว่างรวบรวมข้อมูล เอกสาร พยานหลักฐาน การแถลงข่าวของดีเอสไอเมื่อวันที่ 22 ก.ค. ว่าทำให้เกิดผลกระทบ และความเข้าใจผิดต่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ว่าอย่างไรบ้าง เนื่องจากการแถลงดังกล่าวมีคนบางกลุ่มเชื่อไปแล้วว่า ท่านโดนแจ้งข้อกล่าวหา โดยเมื่อรวบรวมเอกสาร หลักฐานเสร็จแล้ว จะไปรายงานให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ทราบ ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวท่านหลังจากการแถลงข่าวของดีเอสไอ จากนั้นจึงจะมีการทำหนังสือชี้แจงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นไปยังผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง

พิจารณา โดยจะยังไม่มีการฟ้องร้องยังชั้นศาล เพราะสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ท่านมีความเมตตาเสมอ แต่ต้องการให้ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองใช้ดุลยพินิจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย เพราะสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ท่านดำรงตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช การมาถูกกล่าวอ้าง กล่าวหาในเรื่องที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นแล้ว อยากขอให้ท่านผู้ใหญ่ของบ้านเมืองใช้ดุลยพินิจพิจารณาด้วย อีกทั้งการประชุมร่วมของพนักงานสอบสวนกับอัยการเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ก็ยังไม่ปรากฏว่าท่านมีความผิดอะไร ในเมื่อท่านบริสุทธิ์ ก็ต้องบอกว่าท่านบริสุทธิ์ การชี้แจงออกความเห็นของดีเอสไอ ควรที่จะประชุมกันให้เรียบร้อยก่อน เพราะมีระเบียบระบุไว้ชัดเจนในข้อบังคับคณะกรรมการคดีพิเศษ ข้อ 5 อยู่แล้ว

ที่มา : เดลินิวส์ : 4 สิงหาคม 2559