พระทักษิณ
!
ผู้จัดการสาวลึกปัญหาวัดบางคลาน
ลามไปถึงการเมืองเรื่องอำนาจ
ฟังแล้วก็เหลือเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้วเช่นกัน
หนังเรื่องวัดบางคลานตามที่สื่อนำเสนอนั้นก็ต้องเรียกว่า ยาวกว่าวัดโสธรเสียอีก
ถึงเงินจะน้อยกว่า แต่มีนักการเมืองนัมเบอร์วัน (ทักษิณ) เข้าไปเกี่ยวข้อง
มันก็ต้องดังกว่าเป็นธรรมดา

แม้วอีกแล้วครับท่าน
มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับ
"กรณีพิพาท"
ของวัดบางคลานหลวงพ่อเงิน อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถ้าผู้จัดการไม่ลุยเองไม่รู้นะเนี่ย
แต่ผู้จัดกวนนี่เขาก็ดีนะ อย่างเรื่องเณรคำ
อยู่ไกลถึงศรีสะเกษ คุณลิ้มเขาจะส่งนักข่าวลงสนาม สืบกันถี่ยิบ ตะทีเรื่อง
"เสี่ยเหนาะ-สายอยุธยา"
อยู่ห่างท่าพระอาทิตย์ไปไม่กี่ศอก กลับทำเป็นไก๋
ไม่รู้ห่าอะไรเลย
สวนกล้วยไม้อยู่ไหนก็ไม่บอก พอเรื่องวัดบางคลานอยู่ไกลถึงพิจิตรกลับรู้ทุกเรื่อง
อย่างไรก็ตาม การที่มีชื่อ
"ทักษิณ ชินวัตร"
เข้าไปเกี่ยวพันกับวัดบางคลานในครั้งนี้ มองดีๆ มันก็มีทั้งคุณและโทษ
ถ้าจะมองว่าเป็นโทษก็คงมองได้ แต่อีกทางหนึ่งนั้น มันก็เหมือนการ
"ดึงทักษิณกลับมาเข้าฉากสื่อมวลชน"
ซึ่ง คสช. ก็ห้ามแล้วห้ามอีก ว่าอย่านำเสนอข่าวทักษิณไม่ว่ากรณีใดๆ แต่สุดท้าย
ก็ห้ามทักษิณไม่อยู่ ดังนั้น หากจะกล่าวหาว่าคนโน้นคนนี้เขาฮั้วกับทักษิณ ก็กลัวว่า
"เฮียลิ้ม"
นั่นแหละ จะฮั้วเสียเอง เพราะเล่นข่าวทักษิณไม่หยุดเลย
พิจิตร -
อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินหลุดจากตำแหน่งบริหารสงฆ์เกลี้ยงรวม 4 ตำแหน่ง
หลังถูกอดีตไวยาวัจกรร้องเรียน 25 ข้อหา ทั้งเรื่องเงื่อนงำเงินวัด
ยันพาสีกาขึ้นห้างฯ ขณะที่เจ้าตัวบอกขอความเป็นธรรม ยันเงินวัดอยู่ครบ
สาวลึกปมขัดแย้งเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 46-47 หลังปลด “กำนันซ้ง”
พ้นเก้าอี้ไวยาวัจกรวัด แถมเป่าหู “แม้ว” บอกเป็นนักเลงซ้ำ
วันนี้ (12 พ.ย.) พระทีฆทัสสีมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร
เปิดเผยถึงความคืบหน้าการปลดพระครูวิสิฐสีลาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม
หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร
ออกจากตำแหน่งตามบัญชาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ว่า
ล่าสุดหลังปลดออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว ยังมีผลให้ต้องหลุดจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบล
และพระอุปัชฌาย์ รวมถึงการที่ได้เป็นพระครูสัญญาบัตร
ซึ่งจะได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนเดือนละประมาณ 3,000 บาทเศษก็ให้หลุดตามไปด้วย
จึงเป็นการปลดออกรวม 4 ตำแหน่งในด้านการบริหารงานของสงฆ์
พระทีฆทัสสีมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม
อยากให้ทุกฝ่ายหยุดการวิพากษ์วิจารณ์และขอให้น้อมรับคำตัดสินจากเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เพราะได้มีการไต่สวนกันอย่างละเอียดรอบคอบ
ซึ่งปกติสงฆ์จะทำอะไรนั้นก็จะใช้หลักธรรมะที่จะต้องมีความเมตตาและความเป็นกลางเป็นหลักอยู่แล้ว
ดังนั้น คำตัดสินข้างต้นจึงน่าจะเป็นแนวทางก่อให้เกิดความรักความสามัคคี
ซึ่งหน้าที่ต่อไปคือ
ต้องช่วยกันฟื้นฟูชื่อเสียงของหลวงพ่อเงินและวัดบางคลานให้กลับมาเป็นที่พึ่งทางใจของญาติโยมต่อไป
ด้านพระครูวิสิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน
ซึ่งได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวท่ามกลางลูกศิษย์ลูกหานำโดยนายสนั่น ลือมงคล อายุ 49 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 32/1 หมู่ 3 ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร
และพวกที่มาห้อมล้อมหลายสิบคนนั้น ได้พยายามพูดชี้แจงว่า อยากจะขอความเป็นธรรม
โดยเฉพาะกรณีที่ถูกนายเชวง ชัยรัตน์ อดีตข้าราชการครูระดับ 9 และนายพร ปั้นเพ็ง
อดีตข้าราชการครูในพื้นที่
ซึ่งเป็นอดีตไวยาวัจกรทั้งสองคนร้องเรียนไปยังพระผู้ใหญ่เป็นลายลักษณ์อักษร ถึง 25
หัวข้อ ความยาวถึง 4 หน้ากระดาษ เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2547 เรื่องการเงินของวัด
และการนำเงินไปซื้อหุ้น
รวมถึงการซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างและมีการเบิกจ่ายเงินเกินความเป็นจริง
นอกจากนี้ยังมีการใส่ร้ายว่ามีการพาสีกาไปเดินชอปปิ้งในห้างฯ
พระครูวิสิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ได้ปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา
โดยชี้แจงเรื่องแรกว่าเรื่องการที่มีเงินของวัดไปเล่นหุ้นนั้น
ก็เป็นการซื้อหุ้นมาตั้งแต่อดีตเจ้าอาวาสคนก่อน
พอมาถึงยุคของตนก็ต้องตกกระไดพลอยโจร มารับภาระรับผิดชอบ และก็ถูกโจมตีเรื่อยมา
ส่วนเรื่องการก่อสร้างและเงินภายในวัดยืนยันว่าเงินยังอยู่ครบ
ซึ่งปัจจุบันมีเงินอยู่ถึง 84 ล้านบาท
พระครูวิสิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน
ได้นำใบหุ้นออกมาให้ดูพบว่า
แท้ที่จริงแล้วเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย ซื้อเมื่อปี พ.ศ. 2552
ครั้งที่ 1 อายุ 7 ปี ในนามของวัดหิรัญญาราม เป็นเงิน 16 ล้านบาท
และใบการถือหุ้นด้อยสิทธิของ ธ.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 7 พ.ย.
2555 ครั้งที่ 1/2555 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2565
ในนามของชื่อผู้ถือหุ้นกู้วัดหิรัญญาราม เป็นเงิน 7,100,000 บาท
สำหรับเรื่องราวของความวุ่นวายในวัดหลวงพ่อเงินบางคลานนั้น เริ่มต้นขึ้นประมาณ พ.ศ.
2546-2547 โดยนายสุกิจ พรธาดาวิทย์ หรือกำนันซ้ง อดีตประธานสภา อบจ.พิจิตร
ที่เสียชีวิตไปเมื่อ 1 เดือนเศษที่ผ่านมา
เคยเป็นผู้หาเงินเข้าวัดและเคยเป็นไวยาวัจกรในสมัยอาจารย์เปื่อง
เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จากนั้นได้มรณภาพไป
แต่พอพระครูวิสิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน
เข้ามาเป็นเจ้าอาวาสก็ปลด “กำนันซ้ง” ออกจากไวยาวัจกร แล้วแต่งตั้งนายเชวง ชัยรัตน์
อดีตข้าราชการครูระดับ 9 และ นายพร ปั้นเพ็ง อดีตข้าราชการครูในพื้นที่
เข้ามาเป็นไวยาวัจกรแทน
ต่อมา “กำนันซ้ง” เคลือบแคลงใจว่าเงินในวัดน่าจะเกิดการทุจริต
หรือมีการฉ้อโกงเกิดขึ้น จึงมีการสอบถาม
สร้างความไม่พอใจให้ฝ่ายพระครูวิสิฐสีลาภรณ์ และสองไวยาวัจกร
จึงเป็นเหตุบาดหมางและเกิดความแตกแยกเรื่อยมา
กระทั่ง พ.ศ. 2547-48 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ได้เดินสายทัวร์นกขมิ้นแล้วมานอนพักค้างคืนที่วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน
พระครูวิสิฐสีลาภรณ์ได้ใช้โอกาสทำหนังสือร้องเรียนว่า กำนันซ้ง เป็นผู้มีอิทธิพล
หรือเป็นนักเลงเข้ามาก้าวก่ายกิจการงานของสงฆ์ จนตกเป็นเป้าหมายระยะหนึ่ง โชคดีที่
“กำนันซ้ง” เป็นคนสนิทของ เสธ.หนั่น-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
จึงรอดจากเหตุการณ์มาได้อย่างหวุดหวิด
ต่อมา “กำนันซ้ง” ก็ได้เอกสารใบคำร้องที่พระครูวิสิฐสีลาภรณ์ ส่งถึง พ.ต.ท.ทักษิณ
จึงนำเอาเอกสารมาฟ้องศาลในคดีอาญา สู้คดีกันมาหลายปี
จนในที่สุดศาลจังหวัดพิจิตรก็ตัดสินว่าพระครูวิสิฐสีลาภรณ์มีความผิดจริง
จึงพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี และมีการเจรจาของคู่ความ
โดยมีข้อตกลงว่า นายเชวง ชัยรัตน์ อดีตข้าราชการครูระดับ 9 และ นายพร ปั้นเพ็ง
อดีตข้าราชการครูในพื้นที่ จะต้องลาออกจากการเป็นไวยาวัจกร
ซึ่งทั้งคู่ก็ปฏิบัติตามที่ศาลไกล่เกลี่ย
เรื่องน่าจะจบแค่นั้น แต่ปรากฏว่าทั้งสองฝ่าย
และกับกลุ่มชาวบ้านอีกหลายกลุ่มก็กลายเป็นคู่ความขึ้นโรงขึ้นศาลอีก 28 คดี
จึงเป็นเหตุให้พระครูวิสิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน
ต้องเดินขึ้นโรงขึ้นศาลมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา : ผู้จัดการ
13
พฤศจิกายน 2557