แก้
พรบ. คณะสงฆ์ !
ส.ศิวลักษณ์
จี้
"คสช."
ต่อยอดภารกิจหลัก
อยากให้การเมืองมีคุณธรรม ต้องอย่าลืมวงการสงฆ์
เพราะพระสงฆ์คือผู้แสดงธรรม
ถ้าแสดงผิด ก็ผิดตั้งแต่ต้นธาตุต้นธรรม
จะนำไป
"สวรรค์"
หรือ
"นรก"
ก็อยู่ที่พระสงฆ์
ดังกรณี
"ธุดงค์บนกุหลาบ"
ที่ผิดเพี้ยน
แก้ตรงนี้ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะไปถึงไหน

การจะปรับให้ระบบการศึกษาดีขึ้น
รวมถึงการคณะสงฆ์ด้วย
แต่เกรงว่าทัศนะดังกล่าว
คงไม่อยู่ในสายตา
ของคนที่มีอำนาจในบัดนี้
การรัฐประหารครั้งล่าสุด ณ วันที่ 24 พฤษภาคม
2557 นี้ ดูจะใช้บทเรียนจากความล้มเหลวของคราวที่แล้ว
อย่างน่าทึ่ง เช่น
1) เริ่มจากการประกาศกฎอัยการศึกก่อน
แล้วจึงประกาศยึดอำนาจอีกสองวันต่อมา
แม้วุฒิสภาก็สั่งล้มเลิกลงภายหลัง
แสดงว่าประกาศอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่คนๆ เดียว
แล้วจึงค่อยกราบบังคมทูลพระกรุณา
และรับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 26
นี้เอง โดยไม่มีประธานองคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
และไม่มีการไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วยประการใดๆ ทั้งนี้
เพื่อกันความครหานินทาถึงราชสำนักให้เห็นว่าทหารคิดการทำกันเอง
โดยที่ใครจะเชื่อความข้อนี้แค่ไหนเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
2) คราวนี้ ไม่มีการตั้งนายกรัฐมนตรีให้มาบริหารราชการแผ่นดินแทนคณะรัฐประหาร
ซึ่งเรียกชื่ออย่างสั้นๆ เพียงว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
และ คสช. ตั้งธงเพื่อทำลายอำนาจของทักษิณ
ชินวัตรอย่างฉับพลันด้วยการย้ายปลัดประทรวงกลาโหม
และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้หมดอำนาจลง
รวมถึงการโยกย้ายนายตำรวจคนสำคัญๆ สายทักษิณ
รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ด้วย ถ้าสามารถทำให้ทักษิณและคณะหมดอำนาจไปจากทางราชการงานเมือง
จะเป็นความสำเร็จของ คสช. ดังที่การรัฐประหารคราวที่แล้วล้มเหลวด้วยประการทั้งปวง
(ส่วนการย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)
นั้น เท่ากับเป็นการได้แต้มอย่างง่ายๆ)
3) การบริหาราชการโดยเฉพาะก็ทางด้านเศรษฐกิจและการคลังที่เอานักวิชาการที่สามารถมาร่วมด้วยนั้น
นับว่าน่าจับตามองดัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล กับนายสมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ นั้นอยู่คนละขั้ว แต่ก็ซื่อสัตย์สุจริตและมีความสามารถด้วยกันทั้งคู่
ถ้าทำงานร่วมกันได้ โดยนายทหารใหญ่รับฟังทัศนคติของบุคคลทั้งสอง
น่าจะเป็นผลดี ยังนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ ก็เป็นนักวิชาการที่มีจุดยืนทางจริยธรรม
ที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน แม้การไปเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลหลังรัฐประหารคราวที่แล้ว
จะไม่ประสบผลสำเร็จก็ตาม อยากทราบว่าจะมีเทคโนแครตที่ซื่อสัตย์และสามารถอย่างอาจหาญ
มาร่วมกับ คสช. อีกกี่คน นอกเหนือพวกเนติบริกร
ซึ่งรับใช้เผด็จการทุกคณะ
4) ที่พึงตราเอาไว้
ก็คือคณะผู้บริหารดังกล่าว จะกล้าตีไปที่โครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมได้เพียงไหน
มีทางเข้าใจถึงความยากไร้ของคนส่วนใหญ่เพียงใด
และมีทางที่จะเรียนรู้จากภูมิปัญญาชาวบ้านบ้างหรือไม่
โดยที่ต้องตราเอาไว้ทีเดียวว่านโยบายของทักษิณและยิ่งลักษณ์นั้นเป็นไปแต่ในทางประชานิยมเท่านั้น
หากยังเป็นการซ่อนเร้นความทุจริตไว้อย่างหมกเม็ดอีกด้วย
ไม่ว่าจะเรื่องจำนำข้าวหรือการซื้อรถยนต์คันแรกโดยได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
ซึ่งเป็นการสนับสนุนบริษัทค้ารถยนต์ เพิ่มการจราจรติดขัด
ตลอดจนเป็นพิษเป็นภัยกับระบบนิเวศยิ่งนัก
ทราบว่า คสช. มีนโยบายให้ทำถนนหรือเขื่อนรอบๆ กรุงเทพฯ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นี่ก็คือความหายนะอย่างแท้จริง
ดังที่ยิ่งลักษณ์อนุมัติเงินจำนวนมหาศาล เพื่อทำเขื่อนต่างๆ
โดยอ้างว่าเพื่อเอาชนะอุทกภัย นั่นเป็นความเลวร้ายอย่างสุดๆ
ถ้าจะทำอะไรให้ราชธานีแห่งนี้ ควรลอกแม่น้ำเจ้าพระยาและคูคลองต่างๆ
ที่โยงถึงกันให้เมืองกรุงมีศักดิ์ศรีสมกับเป็นเมืองของพระแก้วมรกต
จะอย่างไรก็ตาม งานพวกนี้ควรขอประชามติด้วยจึงจะควร
5) การตั้งศาลทหารนั้นเป็นดาบสองคม
ถ้าจะช่วยให้กระบวนการยุติธรรมดีขึ้น
นั่นเป็นสาระที่สำคัญอันควรใช้ทั้งสติและปัญญา
ตลอดจนขันติธรรม เฉกเช่น การจะปรับให้ระบบการศึกษาดีขึ้น
รวมถึงการคณะสงฆ์ด้วย แต่เกรงว่าทัศนะดังกล่าวคงไม่อยู่ในสายตาของคนที่มีอำนาจในบัดนี้
6) การเชิญคนไปพบ หรือไปกักตัวนั้น
ดูจะบานปลายไปทุกๆ ที ดีไม่ดีนี่จะเป็นระบอบแมกคาที
ดังที่ปรากฏมาแล้ว ณ สหรัฐอเมริกา น่าจะหลีกเลี่ยงให้ทันท่วงที
และที่สหรัฐฯตัดความช่วยเหลือในช่วงนี้
นั่นก็เป็นเพียงเกมการเมืองในระยะสั้น
เพราะสหรัฐฯอุดหนุนรัฐบาลเผด็จการมาแล้วแทบทั้งนั้น
ไม่ว่าจะสุฮาโต้แห่งอินโดนีเซีย หรือ ส. ธนะรัชต์
แห่งไทยแลนด์
7) จิตสำนึกของผู้นำ คสช. ในเวลานี้
ดีร้ายจะเอาอย่าง ส. ธนะรัชต์ ก็ได้ แต่อย่าลืมนะว่าแม้คนๆ
นั้นจะเลวร้ายเพียงใด และบ้ากามเพียงไหน
แต่เขาก็มีความฉลาดเฉลียวมิใช่น้อย
ทั้งยังมีกุนซือที่สามารถยิ่งนัก แม้คน ๆ
นั้นจะปราศจากศีลธรรมจรรยาเอาเลย แต่คนๆ
นั้นก็ช่วยให้จอมเผด็จการผ้าขาวม้าแดง
หาคนดีมีฝีมือมารับใช้บ้านเมืองได้อย่างควรแก่การก้มหัวให้
เช่น ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทางด้านเศรษฐกิจการคลัง และทวี
บุณยเกตกับระบบรัฐสภา แม้นั่นจะใช้เวลากว่า 10
ปี จึงจะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จก็ตาม
8) การสั่งให้มอบเงินแก่ชาวนาอันเรื้อมานานจากการจำนำข้าวนั้น
คสช. ได้ใบชมสมกับอภิสิทธิ์ของการรัฐประหาร
ดังเมื่อรัฐประหารครั้งแรกในปี พ.ศ.2490
ก็สั่งลดราคาโอเลี้ยง น้ำแข็ง ฯลฯ โดยได้แต้มอย่างรวดเร็ว
และผู้นำคณะรัฐประหารกล่าวหาว่ารัฐบาลก่อนหน้านั้นทุจริต
แต่แล้วคณะรัฐประหารก็ทุจริตยิ่งกว่านั้นมากมายหลายเท่านัก
9) หวังว่าการร่างรัฐธรรมนูญคราวนี้และการตั้งรัฐบาลพลเรือนคราวนี้
คงไม่เลวร้ายหรือล่าช้าดังสมัย ส. ธนะรัชต์
และการทำลายล้างปัญญาชนตลอดจนนักการเมืองที่คิดต่างไปจากกระแสหลัก
คงจะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยมเลวร้ายดังสมัย ส.
ธนะรัชต์ เช่นกัน
10) พระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์
ที่ ส. ธนะรัชต์ ให้ตราออกมา
เมื่อ พ.ศ.2505 นั้น
คือต้นตอแห่งความหายนะของสถาบันสงฆ์
ถ้าไม่แก้ไขประเด็นนี้ให้ถึงแก่น
การพระศาสนาจะฟื้นตัวขึ้นไม่ได้เลย
ส.ศ.ษ.
ที่มา : เฟสบุ๊ค ส.ศิวลักษณ์
31 พฤษภาคม 2557