นพรัตน์รู้ตัวมือฉกบัญชีสมณศักดิ์เถื่อน

จะสอบถามเพื่อหาตัวคนทำ

และ..ดำเนินคดี

แหมก็ดีสิฮะ อยากจะรู้จังว่าผู้ที่คิดการใหญ่ระดับนี้มีนามว่ากระไร และที่สำคัญก็คือว่า บัญชีที่มีรายชื่อพระเถรานุเถระ "ระดับสูง" ทั้งสองนิกาย มากมายถึง 121 ชื่อนั้น คนทำต้องไม่ธรรมดา ถ้าไม่รู้กันก็คงไม่มีการเอาชื่อใส่ในบัญชี นี่ต้องมีการ "สมยอม" ระหว่างคนทำกับคนถูกทำ เมื่อจะดำเนินคดี ก็ต้อง "นิมนต์" พระ 121 รูป เข้าร่วมขบวนการสืบสวนสอบสวนให้ครบทุกรูปทุกองค์ แหมคงต้องสืบคดีกันข้ามปีทีเดียวล่ะฮ่ะ

บุคคลผู้ต้องสงสัยของนายนพรัตน์

งานนี้จับตาดูให้ดี อาจจะมีทั้งประเภท "วิ่งเต้น-สมยอม" และ "ถูกหลอก" เมื่อถูกสอบปากคำ ประวัติของแต่ละรูปแต่ละองค์ก็จะถูกบันทึกไว้ใน "แฟ้มประวัติ" ของตำรวจไปจนวันตาย ลบอย่างไรก็ไม่ออก เหมือนนักโทษถูกสักหน้าผาก ยิ่งถ้าถูกพาดพิงว่า "เกี่ยวข้อง" หรือ "ซื้อพัดเจ้าคุณ" ก็ต้องใส่ผ้าเหลืองขึ้นศาลเหมือนเจ้าคุณอุดมวัดเทพศิรินทร์ งานนี้เห็นแล้วเสียวแทน 121 องค์เสียจริง อยู่ดีๆ ก็มีอุกกาบาตตกใส่หลังคาวัด เลี่ยงไม่พ้นเสียแล้วละครับท่าน จึงขอเชียร์ท่าน ผอ.สำนักพุทธฯ ว่า รีบๆ ดำเนินคดีให้เป็นตัวอย่างเสียทีเถิด จะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธฯเชียวล่ะ

อา..แล้ว "ว่าที่นาคหลวง" เหล่านี้ล่ะ
คุณชายนพรัตน์ มิคิดจะสอบสวนบ้างหรือ
ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่
คงไม่ต้องอธิบายนะว่าวัดไหนทำ

พศ.รู้ตัวมือแพร่โผสมณศักดิ์เก๊

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีผู้เผยแพร่โผสมณศักดิ์พระสงฆ์อ้างเป็นรายชื่อของพระสงฆ์ที่จะขอพระราชทานเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์เป็นกรณีพิเศษ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2557 ว่า ขณะนี้ทราบแล้วว่าใครเป็นผู้ที่นำโผสมณศักดิ์วาระพิเศษ วันที่ 12 ส.ค. ออกมาเผยแพร่ ซึ่งรายชื่อที่ปรากฏอยู่ในโผดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากในปี พ.ศ.2557 ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ไม่ได้พิจารณาสมณศักดิ์วาระพิเศษ มีเพียงสมณศักดิ์วาระปกติ วันที่ 5 ธันวาคม เท่านั้น ซึ่งที่ประชุมมหาเถรสมาคมก็ยังไม่ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาสมณศักดิ์วาระปกติด้วย

นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า เมื่อทราบผู้ที่นำโผออกมาเผยแพร่แล้ว จากนี้ก็จะสอบถามไปยังผู้ที่นำโผสมณศักดิ์ดังกล่าวออกมาเผยแพร่ว่า นำรายชื่อดังกล่าวมาจากที่ใดและใครเป็นผู้ทำรายชื่อเพื่อหาต้นตอ รวมทั้งใช้เป็นหลักฐานเป็นข้อมูลประกอบการแจ้งความดำเนินคดีต่อไป
 

ที่มา : ข่าวสด
7 สิงหาคม 2557