ถ่อย-เถื่อน ครบเครื่อง
!
พระครูประจักษ์และสมุนเจ้าของจักษุธาตุ
กร่างใส่เจ้าหน้าที่
อวดดีสารพัด
พรุ่งนี้คงรู้สึก
ถ้าได้อยู่ในซังเต

ภาพ : เดลินิวส์
พิสูจน์จักษุธาตุแห้ว ทำยึกยัก ให้ดู-ไม่ให้แตะต้อง
ทั้งๆที่บรรดาผู้เกี่ยวข้อง
มารอพร้อมกันที่วัดแล้ว
‘ศิษย์พระครู’
กร่างใส่กรรมการ
การตรวจพิสูจน์ "พระจักษุธาตุ" วุ่น หลังพระครูเจ้าของกลับลำ
ตอนแรกไม่ยอมให้มีการพิสูจน์ อ้างกลัวถูกสับเปลี่ยน
แต่ยังออกแถลงการณ์ยินดีให้พิสูจน์ เพียงขอความชัดเจนของกรรมการตรวจสอบ
ระบุที่ผ่านมาไม่เคยบังคับใครให้บริจาคเงิน สุดท้ายผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์
เชิญหลายหน่วยงานถกเครียดกรอบทำงาน ก่อนนิมนต์พระครูพันธกิจประจักษ์มาให้ปากคำ
และยอมหิ้วพระธาตุมาให้กรรมการดู แต่ไม่ยอมให้ใครแตะต้องเลยพิสูจน์ไม่ได้
กรณีวัดสัมพันธวงศ์ ถนนทรงสวัสดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กทม.
ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงการอ้างว่ามีพระบรมสารีริกธาตุส่วนจักษุธาตุของพระครูพันธกิจประจักษ์
ภูริปญฺโญ สังกัดวัดป่าศรีคุณาราม จ.อุดรธานี
ซึ่งเป็นพระอาคันตุกะที่มาอาศัยจำพรรษาในวัด
นำมาเปิดให้ประชาชนบูชาว่าเป็นของแท้หรือของเทียม
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแอบอ้างหลอกลวงประชาชนนั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดสัมพันธวงศ์ว่า
บรรยากาศที่ตึกมงคลวิทยา ชั้น 3 ซึ่งเป็นกุฏิจำพรรษาของพระครูพันธกิจประจักษ์
และที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนจักษุธาตุ
ยังคงเงียบเหงาต่อเนื่อง
ขณะที่ประชาชนเข้ามาสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุมีน้อยมาก
คงมีเพียงลูกศิษย์ ของพระครูพันธกิจประจักษ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ซึ่งจากการสอบถามระบุว่า พระธาตุไม่เสด็จมา 2
วันแล้ว ทั้งนี้ ในช่วงเช้าพระครูพันธกิจประจักษ์เปิดเผยว่า
ยืนยันว่าพระจักษุธาตุเป็นของจริงและจะไม่ยอมให้มีการนำพระจักษุธาตุไปตรวจสอบในที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
เนื่องจากเกรงว่าจะมีการสับเปลี่ยนพระจักษุธาตุ
ขณะเดียวกัน พระครูพันธกิจประจักษ์ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริง
ระบุว่า เรื่องของพระจักษุธาตุ
ไม่ได้ต้มหรือบังคับใครให้มาทำบุญ แล้วแต่ศรัทธา
เพราะผู้ศรัทธาส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีความรู้ ส่วนที่มาที่ไปของเงิน
ทุกบาททุกสตางค์ เข้าวัด ไม่มีการเพื่อประโยชน์
ของตนเอง สามารถตรวจสอบได้
ส่วนการเสด็จมาของพระจักษุธาตุนั้นเป็นนิมิต
ที่เห็นและเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเท่านั้น ไม่ได้อวดวิชาต่างๆ
"สำหรับการพิสูจน์ ยินดีให้มีการพิสูจน์ แต่ผลพิสูจน์ จะวัดจากอะไร
อาตมาขอความชัดเจน
เพราะหลายๆอย่างถ้าทำถูกต้องอาตมายินดีทุกประการ
แต่ที่สำคัญคือกรรมการทุกคนต้องมีความเป็นธรรมในการตรวจสอบ ก็ยืนยันคำเดิมคือ
เงินที่ได้รับมาทุกบาททุกสตางค์เข้าวัด
เพื่อไปสร้างพระมหาเจดีย์และสืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้
สักการะ ไม่ได้บังคับข่มขู่ ใครให้มาบริจาค
เพราะมั่นใจว่าผู้บริจาคมีความรู้และความคิดในการตัดสินใจ" ในแถลงการณ์ระบุ
ขณะที่พระวินัยเมธี ผู้ช่วยและเลขานุการวัด สัมพันธวงศ์ กล่าวว่า
ถ้าเป็นจักษุธาตุของจริง จะพิสูจน์ วันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อไหร่
ก็ไม่ต้องกลัว ที่ต้องพิสูจน์เพราะประชาชนสงสัย
เพราะฉะนั้นต้องทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อรักษาวัดสัมพันธวงศ์ที่มีอายุมากกว่า
220 ปี ถ้าพระจักษุธาตุ ศักดิ์สิทธิ์จริง ดีจริง วัดต้องร่มเย็น เป็นสุข
ไม่ใช่รุ่มร้อนอย่างทุกวันนี้
กรรมการที่มาพิสูจน์ก็ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและทำต่อที่ประชุมสงฆ์
ทำไมไปอ้างข้างๆคูๆว่า กลัวมีการสับเปลี่ยนพระจักษุธาตุ ใช้ไม่ได้
ที่ผ่านมาพระครูพันธกิจประจักษ์ก็มีพฤติกรรมไม่ถูกต้อง คือพยายามโทรศัพท์ไปล็อบบี้กรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ไม่ให้เข้าร่วมประชุมเพื่อให้การประชุมล่มถือว่าเหมาะสมหรือไม่
เป็นพระอาคันตุกะหรือมาอาศัยวัด ทำไมทำให้วัดเดือดร้อน
ต่อมาช่วงบ่ายกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจู่โจม บก.น.6 จำนวน 22 คน นำโดย พ.ต.อ.วิชาทร
จรเจวุฒิ รอง ผบก.น.2 ได้มาอารักขาที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ภายในวัดสัมพันธวงศ์
ซึ่งเป็นสถานที่ประชุม เนื่องจากก่อนหน้านี้บรรดาลูกศิษย์ของพระครูพันธกิจประจักษ์ได้ออกข่าวว่าจะมีม็อบมาสนับสนุนพระครูพันธกิจประจักษ์และไม่ให้มีการพิสูจน์จักษุธาตุ
จากนั้นเวลา 16.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา
พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์
และประธานคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงพระบรมสารีริกธาตุส่วนจักษุธาตุ
ได้นำคณะกรรมการ อาทิ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ สายัณน์ประเสริฐ ผกก.สน.พลับพลาไชย 2
นายทองดี หรรษาคุณารมย์ ประธานมูลนิธิพระบรมธาตุ นายอำนาจ บัวศิริ
เลขาธิการมหาเถรสมาคม และผู้เชี่ยวชาญจากร้านเพชรพลอย รวมทั้ง พระสงฆ์ในวัด
เป็นต้น เข้าประชุมโดยไม่เปิดให้นักข่าวได้เข้าฟัง
ท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่เฝ้าติดตามข่าวจำนวนมาก
โดยการประชุมช่วงแรกเป็นการตกลงกติกาและกรอบของการพิสูจน์ ใช้เวลาประมาณ 1
ชั่วโมง ที่ประชุมจึงมอบให้พระศรีรัชมงคลบัณฑิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์
และกรรมการ ไปนิมนต์พระครูพันธกิจประจักษ์ จากตึกมงคลวิทยา ชั้น 3
ซึ่งเป็นกุฏิจำพรรษาของพระครูพันธกิจประจักษ์
และที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนจักษุธาตุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อไปถึงปรากฏว่าได้มีบรรดาลูกศิษย์ของพระครูพันธกิจประจักษ์พากันรุมล้อมพระศรี–รัชมงคลบัณฑิต
และไม่ยอมให้มีการนำพระจักษุธาตุไปตรวจพิสูจน์ อ้างว่ากลัวมีการสับเปลี่ยน
กระทั่งมีการยื้อยุด จนทำท่าว่าเหตุการณ์จะบานปลาย ในที่สุดพระครูพันธกิจประจักษ์ยินยอมที่จะไปให้ปากคำต่อที่ประชุมพร้อมกับลูกศิษย์อีก
4 คน แต่ไม่ยอมให้มีการนำพระจักษุธาตุไปยังที่ประชุมคณะกรรมการฯ
ต่อมาเวลา 17.00 น. พระครูพันธกิจประจักษ์ พร้อมลูกศิษย์ 4 คน
ได้เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมฯ โดยใช้เวลาชี้แจงประมาณ 30 นาที จากนั้นพระครูพันธกิจประจักษ์ได้ออกจากที่ประชุมพร้อมลูกศิษย์ขึ้นไปยังชั้น
3 ตึกมงคลวิทยา ที่เก็บพระจักษุธาตุ เพื่อนำพระจักษุธาตุมาแสดงต่อที่ประชุม
โดยเวลา 17.55 น. พระครูพันธกิจประจักษ์
พร้อมลูกศิษย์ได้นำพระจักษุธาตุและรูปถ่ายขนาดใหญ่
ตั้งเป็นขบวนแห่เดินจากชั้น 3 ของอาคารมายังห้องประชุม ระยะทางประมาณ 100
เมตร โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดเส้นทางที่เดินมามีบรรดาลูกศิษย์พระครูพันธกิจประจักษ์
มาตั้งแถวส่งเสียงให้กำลังใจพระครูพันธกิจประจักษ์อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงเปล่งคำ สาธุ เป็นระยะ ซึ่งเมื่อพระครูพันธกิจประจักษ์พร้อมลูกศิษย์ 4
คน เข้าไปในที่ประชุมแล้ว ที่ประชุมไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมฟัง
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า
ในที่ประชุมมีการถกเถียงกันระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบฯ กับลูกศิษย์ของพระครูพันธกิจประจักษ์
เนื่องจากที่ประชุมต้องการให้มีการพิสูจน์พระจักษุธาตุ
โดยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเพชรพลอย และด้านพระบรมสารีริกธาตุได้พิสูจน์
แต่ลูกศิษย์พระจะเถียงแทน ขณะที่พระครูพันธกิจประจักษ์นั่งหลับตา
ทำสมาธิตลอดเวลา ทั้งนี้ ลูกศิษย์ไม่ยินยอมให้มีการพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น
แม้ที่ประชุมต่อรองว่าถ้าไม่ให้จับก็ขอส่องกล้องแล้วใช้ช้อนตักเพื่อตรวจพิสูจน์
แต่กลุ่มลูกศิษย์ดังกล่าวไม่ยินยอมใดๆเลย โดยอ้างว่าพระจักษุธาตุเป็นของสูง
และได้แจกแผ่นวีซีดีเกี่ยวกับพระจักษุธาตุ ซึ่งอ้างว่าเป็นของนายสถิตย์ธรรม
เพ็ญสุข ประธานองค์กรยูเอสโอ (ยูนิเวอร์แซล สปิริทัล ออร์แกไนเซชั่น)
ให้กับกรรมการทุกคนแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากถกเถียงอยู่พักหนึ่ง
ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ช่างภาพเข้ามาบันทึกภาพพระจักษุธาตุ จากนั้นพระครูพันธกิจประจักษ์พร้อมลูกศิษย์
ได้ออกจากห้องประชุม โดยหิ้วสิ่งที่เรียกว่าพระจักษุธาตุกลับไปยังกุฏิที่ชั้น
3 ตึกมงคลวิทยา เก็บตัวเงียบทันที ขณะเดียวกัน คณะกรรมการได้มีการประชุมต่อ
โดยจะมีการลงมติให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับพระครูรูปนี้ต่อไป
กระทั่งเวลา 19.20 น. พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์และประธานคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงพระบรมสารีริกธาตุส่วนจักษุธาตุ
ออกมาแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการฯ
ว่าในฐานะประธานได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาพิสูจน์จักษุธาตุของพระครูพันธกิจประจักษ์
เบื้องต้นพระครูฯไม่ยอมให้นำพระจักษุธาตุมาดู แต่ที่ประชุมขอร้องให้นำมาแสดง
และขอรับรองความปลอดภัยว่าจะไม่ให้เกิดปัญหา กระทั่งพระครูฯ
ยอมนำมาแสดงต่อที่ประชุม แต่ให้ดูด้วยสายตาเท่านั้น ไม่สามารถจับต้องได้
ไม่สามารถส่องกล้องได้ ไม่ สามารถใช้ช้อนตักได้
ซึ่งกรรมการแต่ละท่านดูแล้วและมีความเห็นแตกต่างกันไป เช่น นายทองดี หรรษคุณารมย์
ประธานมูลนิธิพระบรมสารีริกธาตุ บอกว่าไม่ใช่จักษุธาตุ
และไม่ใช่พระบรมสารีริกธาตุ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเพชร
ไม่สามารถบอกได้ว่าจักษุธาตุเป็นของจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้จับ
ฉะนั้นผลคือไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม พระครูพันธกิจประจักษ์
บอกต่อที่ประชุมฯว่าขณะนี้ไม่สนใจว่าพระจักษุธาตุเป็นของจริงหรือไม่
แต่ต้องการนำทรัพย์สินเงินทองที่ได้รับบริจาคจากผู้มีศรัทธาจากพระจักษุธาตุ
ไปจัดสร้างพระมหาเจดีย์มงคลที่วัดป่าศรีคุณาราม จ.อุดรธานี
พระพรหมเมธีกล่าวอีกว่า หลังจากนี้เมื่อไม่สามารถ ตรวจสอบได้
ทางวัดก็จะใช้มาตรการทางปกครองดำเนินการกับพระครูพันธกิจประจักษ์
ซึ่งจะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะกรรมการฯ ตรวจสอบ
ไม่มีสิทธิลงมติว่าจะให้อยู่หรือไปจากวัด ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมสงฆ์ของวัด
อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์ที่ร่วมเป็นกรรมการตรวจสอบส่วนใหญ่
มีมติที่จะไม่ให้พระครูฯจำพรรษาที่วัดสัมพันธวงศ์ต่อ ซึ่งการให้ พระครูพันธกิจประจักษ์อยู่หรือไม่
เป็นอำนาจของเจ้าอาวาส
ซึ่งเจ้าอาวาสก็มอบให้คณะกรรมการสงฆ์เป็นผู้พิจารณา เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน
เพราะวัดต้องรักษาชื่อเสียง
ถ้าทำอะไรไม่จริงจังก็จะมีการกล่าวหาว่าวัดไปฮั้วกับผู้สนับสนุน พระจักษุธาตุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่า พระครูพันธกิจประจักษ์สามารถอยู่วัดต่อไปได้หรือไม่
พระพรหมเมธีกล่าวว่า คงอยู่ได้อีกระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ห้ามใช้ชื่อวัด
สัมพันธวงศ์และพระสงฆ์ในวัดไปเรี่ยไรหาเงินเพื่อสร้างมหาเจดีย์และจะนำผลสรุปนี้ส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต่อไป
เนื่องจากเป็นต้นเรื่องที่ร้องเรียนมา
ข่าว
: ไทยรัฐ
12 มีนาคม 2554
แห้วกิน
!
พระครูประจักษ์ไม่ยอมให้กรรมการพิสูจน์พระจักษุธาตุ
ดูได้แต่ตา ห้ามแตะต้อง
!
หุหุ
โคตรลวงโลกเลยพระครูอัปรีย์นี่


วัดสัมพันธวงศ์ออกประกาศสั้นๆ ข้อความว่า
"ผลสรุปเบื้องต้นของการตรวจสอบพระธาตุ ที่อ้างว่าเป็นพระจักษุธาตุ
ของพระพุทธเจ้า
-คณะกรรมการตรวจสอบไม่สามารถดำเนินการเป็นข้อสรุปได้
เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้จับต้องพระธาตุเพี่อตรวจสอบ ได้เพียงแค่มองดูเท่านั้น
-กระบวนการต่อจากนี้ ทางวัดสัมพันธวงศ์จะดำเนินการตามระเบียบการปกครองของวัด
และตามกฎมหาเถรสมาคมต่อไป..."
ตามประกาศของวัดสัมพันธวงศ์ดังกล่าวมานี้ บอกให้ทราบว่า
คำสั่งแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบพระจักษุธาตุ ที่ลงนามโดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ นั้น ไม่มีศักดิ์และสิทธิ์อะไรเลย
เป็นแต่เพียงกระดาษเช็ดขี้มูกใบหนึ่ง ซึ่งพระครูประจักษ์อาจหาญระรานกรรมการ
ซึ่งประกอบด้วยพระระดับรองสมเด็จฯและเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลต้องหน้าแตก
เพราะพระครูระดับกระจอกไม่ยอมให้แตะต้องของสงวน
งานนี้ถ้าพระครูไม่ลวงโลกก็คณะกรรมการเหล่านี้นั่นแหละที่ลวงโลก
เพราะดำเนินการแบบซูเอี๋ย
กีดกันกระบวนการทางกฎหมายไม่ยอมให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในวัดสัมพันธวงศ์
โดยการตั้งกรรมการขึ้นมาหลอกชาวบ้าน แล้วก็ทำปากว่าตาขยิบกับพระครูประจักษ์
พอพระครูประจักษ์บอก
"ห้ามจับ"
ก็พากันกลัวและถอย แต่เป็นเกมตื้นๆ เด็กเมื่อวานซืนก็อ่านออก
ที่เราบอกว่าเป็นเกมตื้นๆ นั้นก็เพราะวัดสัมพันธวงศ์อ้างว่า
"พระครูประจักษ์เป็นพระอาคันตุกะ ไม่ใช่พระวัดสัมพันธวงศ์"
แต่ตามเหตุการณ์นั้น
พระครูประจักษ์นำเอาเพชรรัสเซียที่อ้างว่าเป็นพระจักษุธาตุ
มาตั้งให้ประชาชนบูชาตั้งแต่
เดือนมกราคม พ.ศ.2552
คือ 2 ปีก่อน
และสถานที่ก็คือ
ตึกมงคลวิทยา ชั้นที่ 3 วัดสัมพันธวงศ์
คำถามจึงมีว่า ถ้าเป็นพระอาคันตุกะจริง ทำไมจึงอยู่วัดสัมพันธวงศ์เป็นปีๆ
และได้เงินจากค่าหลอกญาติโยมให้บูชาไปตั้ง 11 ล้าน
แถมยังตั้งโครงการสร้างอภิมหาเจดีย์อีก 100 กว่าล้าน
งานนี้วัดสัมพันธวงศ์จะอ้างว่า
"ไม่เกี่ยวข้อง
หรือไม่รู้เห็นเป็นใจ"
คงเป็นไปไม่ได้แน่ เพราะสมรู้ร่วมคิด (เชื่อว่ามีพระภายในวัดระดับบิ๊กร่วมก๊วนหากินกับพระครูประจักษ์)
หลอกญาติโยมเป็นเป็นปีๆ ถ้าหากไม่มีคำทักท้วงจากนายภิญโญ
สุวรรณคีรี สถาปนิก
ที่ได้รับว่าจ้างให้ออกแบบพระเจดีย์ และหนังสือขอความกระจ่างจากนายนพรัตน์
เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ถามว่าวัดสัมพันธวงศ์จะดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้หรือ เพราะปล่อยมา 2
ปีกว่าแล้ว บางทีอาจจะเร่งเกียร์ 5 ให้ได้เงินตามเป้าหมายด้วยซ้ำไป
แต่เมื่อมีข่าวออกไปให้พิสูจน์
วัดสัมพันธวงศ์ก็ทำการพิสูจน์หลอกๆ
โดยตั้งกรรมการหลอก
คือหลอกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้
แล้วให้กรรมการที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ตั้งนั้นเล่นปาหี่ ทำทีขอดู
พอเจ้าของไม่ให้ดูก็บอก
"ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของจริงหรือไม่"
ความจริงเรื่องนี้ถ้าจะทำก็ง่ายนิดเดียว คือแจ้งความจับพระครูประจักษ์ในข้อหา
"หลอกลวงประชาชน"
เหมือนกรณีนายสิทธิกร บุญฉิม จากนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ แต่วัดสัมพันธวงศ์กลับไม่ทำ
หนำซ้ำยังออกประกาศหลอกลวงออกมาอีกฉบับว่า
"จะดำเนินการตามกฎระเบียบการปกครองของวัดต่อไป"
การไม่ทำให้ถูกต้องตามกระบวนการของวัดสัมพันธวงศ์ในครั้งนี้ก็มี 2 นัยยะ คือ
1.เพื่อจะรักษาภาพพจน์ของวัด อันมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็นเจ้าอาวาส
รวมทั้งมีพระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นรองเจ้าอาวาสด้วย และ
2.
เพื่อป้องกันมิให้คดีความลามมาถึงพระสงฆ์ภายในวัดสัมพันธวงศ์
เพราะถ้าหากมีการแจ้งความและเรื่องถึงโรงถึงศาล ก็จะต้องมีการสืบสวน
มีการพาดพิงถึงกระบวนการลวงโลกในครั้งนี้
ซึ่งแน่นอนว่าพระครูประจักษ์มิได้ทำคนเดียว แต่ต้องมีกระบวนการ
ซึ่งจะมีพระเถระระดับใดไม่รู้ล่ะที่จะถูกลากผ้าเหลืองขึ้นศาล เผลอๆ
พระเกจิอาจารย์ดังๆ ระดับประเทศในเขตอีสาน อาจจะโดนหางเลขพ่วงด้วย
เพราะถูกนำรูปและชื่อเสียงมาโฆษณาสร้างพระเจดีย์ในโปรเจ็คเดียวกัน
เราจึงบอกว่า
มีความไม่ชอบมาพากลของคำสั่งแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบพระจักษุธาตุมาตั้งแต่ต้น
จนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครไปแจ้งความดำเนินคดีกับพระครูประจักษ์ ทั้งๆ
ที่ปรากฏความเสียหายมากกว่า 11 ล้านบาท
อันเป็นเงินที่สาธุชนนำไปบูชาเพชรรัสเซีย ตามคำโกหกหลอกลวงของแก๊งค์วัดสัมพันธวงศ์
ถ้าวัดสัมพันธวงศ์มั่นใจว่าพระทั้งวัดไม่มีใครเกี่ยวข้อง
ไม่มีใครได้รับส่วนแบ่งหรือผลประโยชน์ใดๆ ในกรณีนี้แล้ว
ก็ควรออกประกาศอย่างเป็นทางการว่า "วัดสัมพันธวงศ์ไม่รู้จักมักจี่
ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้อนุญาตให้พระครูประจักษ์กระทำการใดๆ ในกรณีพระจักษุธาตุ"
จากนั้นจึงดำเนินการขับไล่พระครูประจักษ์ออกจากวัด หรือไม่ก็แจ้งข้อหาแอบอ้างวัดสัมพันธวงศ์ทำการโปรโมทโฆษณาพระจักษุธาตุหลอกลวงชาวบ้าน
แต่วัดสัมพันธวงศ์นอกจากจะไม่ยอมทำตามระเบียบแบบแผนที่ดีงามแล้ว
ยังกระทำการลวงโลก
หลอกให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เซ็นหนังสือตั้งกรรมการตรวจสอบพระจักษุธาตุ
ซึ่งมีประวัติว่าเสด็จมาเอง สมเด็จฯท่านอายุมากก็เชื่อเลขาวัด
ชี้ให้เซ็นตรงไหนก็เซ็น แล้วก็กลายเป็นเชือกรัดคอจนหายใจไม่ออกในเวลานี้
งานนี้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ไม่เกี่ยวข้องแน่นอน แต่พระพรหมเมธี รองเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ก็ดี
พระวินัยเมธี เลขาวัดสัมพันธวงศ์ก็ดี พวกท่านต้องพิจารณาตัวเอง
อย่าโยนบาปให้แก่พระครูประจักษ์ตัวกระจิดเลย
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ
ดอทคอม
ข่าว
: วัดสัมพันธวงศ์
11 มีนาคม 2554