มุสลิมโวยลั่น
!
โรงเรียนวัดหนองจอกห้ามสวมฮิญาบมาโรงเรียน

วัดย่านหนองจอก ขวาง น.ร.
คลุมฮิญาบในโรงเรียน
นักเรียนมุสลิมมะฮฺร้องเรียน
หลังพบว่าวัดหนอกจอกซึ่งเป็นผู้อุทิศที่ดินในการก่อสร้างโรงเรียน
พยายามแทรกแซงการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน
ขัดขวางการอนุญาติให้นักเรียนมุสลิมะฮฺ คลุมฮิญาบในโรงเรียน
ทนายฮานีฟ
หยงสตาร์ ประธานคณะทำงานด้านกฏหมาย กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ
เปิดเผยกับสำนักข่าว TND ว่า
ได้รับเรื่องร้องเรียนล่าสุดเกี่ยวกับปัญหาการคลุมฮิญาบของนักเรียนมุสลิมะ ฮฺ
ในโรงเรียน
ซึ่งเป็นกรณีที่แตกต่างจากหลายกรณีที่มีการร้องเรียนผ่านมาทางคณะทำงานด้านกฏหมายของกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ
และมีการดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว
ซึ่งกรณีก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาพบว่าปัญหาเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเจ้าหน้าที่
เมื่อทำการชี้แจงเรื่องหลักการศาสนาเกี่ยวกับการคลุมฮิญาบ และด้านกฏหมาย
แล้วก็จะได้รับการตอบรับที่ดีและอำนวยความสะดวกแก่นักเรียน นักศึกษา
มุสลิมในการปฏิบัติศาสนกิจมาโดยตลอด
แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด
พบว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกของคณะผู้บริหารโรงเรียน
ซึ่งทางนักเรียนและผู้ปกครองได้มีการดำเนินการในการส่งเอกสารชี้แจงเรื่องการคลุมฮิญาบกับทางโรงเรียนแล้ว
แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับจากทางโรงเรียน
จึงได้ร้องเรียนเพื่อให้ทางกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติเข้าไปช่วยในการชี้แจงและแก้ปัญหาดังกล่าว
หลังพบว่ามูลเหตุที่ทำให้ทางโรงเรียน
ยังไม่ยอมอนุญาติให้นักเรียนมุสลิมะฮฺคลุมฮิญาบไปเรียนได้เนื่องจากถูกแทรกแซงจากทางวัด
ซึ่งเป็นผู้อุทิศที่ดินในการก่อสร้างโรงเรียนดังกล่าว
ไม่อนุญาติให้มีการคลุมฮิญาบในโรงเรียนได้
ทั้งที่โดยหลักการศาสนา และข้อกฏหมาย
แล้วโรงเรียนมีหน้าที่ต้องส่งเสริมให้นักเรียนปฏิบัติ
และยึดมั่นในหลักการของศาสนา และฮิญาบก็เป็นหลักการหนึ่งในศาสนา
และระเบียบการแต่งการของกระทรวงศึกษาธิการ
ก็ได้ระบุชัดเจนถึงการอนุญาติให้มีการแต่งกายคลุมฮิญาบตามหลักกรศาสนาอิสลาม
ได้
และในทางกฏหมายแล้ว ทางวัด หรือจะเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลใดก็ตาม
ที่มีการอุทิศ หรือยกที่ดินให้ในการก่อสร้างโรงเรียน ก็ไม่ได้ทำให้คน
หรือกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามามาสิทธิเหนือผู้บริหารของโรงเรียน
ในการกิจการของโรงเรียน ให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย
ซึ่งหลังจากนี้ทางคณะทำงานด้านกฏหมาย จะมีดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ
ของกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ
เพื่อปกป้องสิทธิในการปฏิบัติศาสนกิจของพี่น้องมุสลิม
อย่างถึงที่สุดต่อไป
แหล่งข่าวเผยกับทีมข่าวมุสลิมไทย เรื่องนี้เกิดมาหลายเดือนแล้ว
เคยมีการแจ้งเรื่องให้กับคณะกรรมการกลางอิสลาม ประจำกรุงเทพฯ แต่ก็เงียบหาย
ไม่รู้ร้อนรู้หนาว กับเหตุการห้ามคลุมฮิญาบในโรงเรียนดังกล่าว
พร้อมเผยว่า สส.มุสลิมเขตมีนบุรี หนองจอก (คนดัง ส.) เงียบ
ไม่กล้ากระดิกอะไรสักอย่าง ทั้งนี้เดิมทีนักเรียนโรงเรียนดังกว่ามีกว่า
3,000คน ซึ่งมี นร.มุสลิมกว่า 80% ปัจจุบัน นักเรียนมุสลิมโดนกีดกัน
และมีการบังคับจิตใจเรื่องการคลุมฮิญาบ ซึ่งปัจจุบันนี้
มีนักเรียนมุสลิมเหลือไม่ถึง 50% แล้ว
หรือโรงเรียนดังกล่าวไม่ต้องการให้ นร.มุสลิมศึกษาเล่าเรียน
หรือประสงค์จะบอยคอต (BoyCott)
นักเรียนมุสลิมทางอ้อม ทั้งนี้
แหล่งข่าวเผยว่า
เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าบุคลากรในโรงเรียนสามารถคลุมฮิญาบได้
แต่ไม่ให้นักเรียนคลุม

โรงเรียนวัดหนองจอกแจง
โรงเรียนอยู่ในเขตวัด
จะมาขอความรู้ต้องให้ความเคารพสถานที่
อืม ก็จริงนะ เพราะถ้าต่อไป
ทางชาวพุทธจะเข้าเรียนในโรงเรียนปอเนาะของมุสลิมมั่ง จะขอแต่งตัวแบบพุทธๆ
ชาวมุสลิมจะยินยอมเหรอ วันนี้สวมฮิญาบได้
ต่อไปก็คงขอทำพิธีละหมาดในโบสถ์วัดหนองจอกซะเลย
อ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว
ผอ.ร.ร.
วัดหนอง จอกแจงห้าม
น.ร. สวมฮิญาบ
วันที่ 7 มี.ค. นายประพนธ์ หลีสิน ผอ.โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก
กล่าวถึงกรณีห้ามนักเรียนมุสลิมสวมฮิญาบ
หรือผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิมมาโรงเรียน ว่า
โรงเรียนห้ามนักเรียนมุสลิมสวมฮิญาบมาโรงเรียนจริง แต่ได้ผ่านการพิจารณา
และคำตัดสินของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เมื่อปี 2553
มีนักเรียนจำนวน 17 คน
เข้ายื่นเรื่องเพื่อขออนุญาตให้นักเรียนมุสลิมสวมฮิญาบมาโรงเรียน
ทางโรงเรียนจึงส่งเรื่องดังกล่าวไปยังสพฐ. สำนักงานเขตการศึกษามัธยม (สพม.)
เขต 2 และผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณา
จึงมีคำตัดสินว่าห้ามนักเรียนสวมฮิญาบมาโรงเรียน
ด้วยเหตุผลว่าโรงเรียนตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด
และโรงเรียนก็มีระเบียบเรื่องเครื่องแต่งกายอยู่แล้ว ภายหลังคำตัดสิน
กลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองมีเวลายื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน
แต่ก็ไม่ได้กระทำการใดๆ จึงถือว่าคำร้องดังกล่าวตกไปแล้ว
การสวมฮิญาบมาโรงเรียนจึงเป็นข้อห้าม
แต่อย่างไรก็ตามหากนักเรียนหรือผู้ปกครองต้องการยื่นเรื่องใหม่ก็สามารถทำได้
โดยทางโรงเรียนก็จะส่งเรื่องไปสพฐ. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
ซึ่งหลังจากคำตัดสินแล้วก็ไม่พบมีปัญหาระหว่างนักเรียนพุทธหรือมุสลิมแต่อย่างใด
โดยส่วนตนเห็นว่านักเรียนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
และสิทธินั้นต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบด้วยเช่นกัน
ด้านนายสุรศักดิ์ ศรีสว่างรัตน์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
(สพม.) เขต 2 กล่าวว่า โรงเรียนหนองจอกมีคำสั่งห้ามดังกล่าว ซึ่งนักเรียนชั้น
ม.1-ม.5 จำนวน 17 คน ผู้ปกครองและคณะกรรมการอิสลามเพื่อสันติ
ทำเรื่องขออนุญาตให้นักเรียนใส่ฮิญาบ
ทางโรงเรียนชี้แจงว่ามีระเบียบการแต่งกายของโรงเรียนอยู่
หากร้องขอมาจะนำเข้าคณะกรรมการสถานศึกษา
หากกรรมการพิจารณาแล้วอนุญาตให้แต่งได้
ทางโรงเรียนก็จะไปแก้ระเบียบเครื่องแต่งกายนักเรียนให้
แต่ทางกรรมการฯไม่อนุญาต และแจ้งนักเรียนแล้ว
ซึ่งนักเรียนและผู้ปกครองก็เข้าใจดี ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
ในระดับโรงเรียนก็ไม่มีปัญหา
หลังจากโรงเรียนห้ามแล้วก็แจ้งสิทธิให้นักเรียนทราบว่าสามารถอุทธรณ์ไปที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้
แต่ก็ไม่มีการอุทธรณ์ใดๆ
“จริงๆ แล้วผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
เพราะว่ามีการทำความเข้าใจกับนักเรียนแล้ว และนักเรียนก็ไม่ได้ติดใจอะไร
อยากจะเรียนว่าตอนไม่อนุญาตให้แต่ง ก็แจ้งสิทธิอุทธรณ์ให้นักเรียนแล้ว
ซึ่งนักเรียนก็เข้าใจ” ผอ.สพท.เขต 2 กล่าว
นายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) กล่าวว่า
ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ห้ามมิให้บุคคลที่แต่งกายตามศาสนาที่ตนนับถือเข้าไปในอาณาบริเวณของศาสนาอื่น
เพียงแต่ต้องมีกติการ่วมกัน เช่น
การที่ชาวต่างชาติเข้าไปชมภายในบริเวณวัดพระแก้ว
ก็มีกติกาว่าให้แต่งกายให้สุภาพ ห้ามนุ่งกางเกงขาสั้น เป็นต้น
และชาวมุสลิมก็สามารถเข้าไปในบริเวณวัดพุทธได้
เพียงแต่ไม่เข้าไปกราบไหว้พระพุทธรูปเพราะชาวมุสลิมไม่นับถือรูปเคารพ
ส่วนในกรณีนี้ทางผู้บริหารโรงเรียน ครู ผู้ปกครอง วัด
และผู้ที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันตั้งข้อตกลงเกี่ยวกับการแต่งกายของนักเรียนมุสลิมที่ต้องเข้าไปเรียนในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดพุทธให้ชัดเจน
โดยส่วนตัวเห็นว่าการแต่งกายตามศาสนาที่นับถือไม่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนแต่อย่างใด
ในทางกลับกันแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางศาสนา
นักเรียนต่างศาสนากันควรมีสิทธิเข้าร่วมในกิจกรรมที่สามารถร่วมได้ อย่างเช่น
การเรียนหนังสือ
ด้าน นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี
กล่าวถึงผู้บริหารโรงเรียนวัดหนอกจอกห้ามไม่ให้นักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบ ว่า
วันนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังแก้ไขปัญหากันอยู่ กำลังสร้างความเข้าใจกันอยู่
ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องสร้างความเข้าใจ และวันที่ 9 มี.ค.นี้
ตนได้รับเชิญจากประเทศเยอรมนี เพื่อไปดูนโยบายเกี่ยวกับการกีดกั้นทางวัฒนธรรม
เพราะในประเทศเยอรมนี มีมุสลิมอยู่จำนวนมาก และรัฐบาลเยอรมนี
ก็พยายามแก้ไขปัญหาในเรื่องของการอยู่ร่วมกัน ไม่ให้เกิดการปะทะ
หรือความรุนแรง จะไม่ให้มีการปิดกั้น หรือปิดกันทางวัฒนธรรม
“ทางที่ดีต้องมีการสร้างความเข้าใจ
อะไรที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนา
ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ทุกคนก็ต้องเข้าใจ
มิติของการคลุมผมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพราะในโลกนี้มีอยู่ทั่วไปในทุกพื้นที่ แม้แต่ในประเทศยุโรป สิงคโปร์
ซึ่งมีคนจีนอยู่ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์
ก็เห็นการคุมฮิญาบของเจ้าหน้าที่ราชการทำกันเป็นเรื่องปกติ
ไม่ได้อ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็ต้องพัฒนาไปสู่ตรงนั้น
ก็หวังว่าจะมีความเข้าใจกันได้
ซึ่งเรื่องนี้มีส.ส.ในพื้นที่ทำความเข้าใจอยู่” นายอาศิส กล่าว
ข่าว : ข่าวสด-มุสลิมไทย ดอทคอม
8 มีนาคม 2554