“ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์”
ประทานสัมภาษณ์เหตุเผาบ้านเมืองนำความทุกข์เหลือเกินสู่พระราชินี-ในหลวง
กระทั่งอาการพระประชวรที่เริ่มดีกลับทรุดลง ทรงเล่าทั้ง 2
พระองค์ทรงงานหนักมาโดยตลอด
โดยเฉพาะในยามประเทศเกิดวิกฤต จนบางครั้งแทบไม่มีเวลาบรรทม
ตรัสอยากได้เวลาทีวีวันละ 10 นาที
หวังคนเข้าใจในหลวงทำอะไรอยู่ แต่ยังไม่กล้าขอ
เป็นการออกอากาศที่มีประชาชนคนไทยจำนวนมากให้ความสนใจติดตามชม
สำหรับรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย”
เทปคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3
เม.ย.) ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี หลังทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
ประทานสัมภาษณ์เรื่องราวส่วนพระองค์ โดยมี “วู้ดดี้
วุฒิธร มิลินทจินดา” เป็นพิธีกรผู้ดำเนินรายการ
ผู้ดำเนินรายการ :
ขอพระราชทานกราบทูลเกล้าฝ่าพระบาท ข้าพเจ้านายวู้ดดี้ ผู้ดำเนินรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
ขอพระราชทานบันทึกเทปและพระราชทานสัมภาษณ์ใต้ฝ่าพระบาท
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ผู้ดำเนินรายการ : ต้องเรียนทูลกระหม่อมว่า
วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดในชีวิตตั้งแต่ทำรายการมา
และต้องขอกราบอภัยถ้าข้าพเจ้าได้ทูลผิดในหลายๆ ครั้ง
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมทอดพระเนตรรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยบ่อยไหม
พระพุทธเจ้าข้า?
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
ก็ดูบ้างแต่ไม่ได้ดูทุกครั้งค่ะ
ผู้ดำเนินรายการ :
ถ้ามีโอกาสได้ทอดพระเนตรโทรทัศน์หรือว่าทีวี
ทรงโปรดละครหรือว่าข่าวประเภทไหนพระพุทธเจ้าข้า?
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ดูหลายอย่างดูพวกสารคดีทางธรรมชาติ
ละครก็ดูเป็นบ้างเรื่อง ละครไทยดูเป็นบางเรื่อง บางเรื่องก็ทำได้ดี
แต่บ้างเรื่องก็ดูไปดูมาแล้วก็หลับ (ทรงพระสรวล)
ผู้ดำเนินรายการ :
แสดงว่าดูไปดูมาละครเรื่องนั้นอาจจะเบื่อ
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: อาจจะเบื่อ (ทรงพระสรวล)
ผู้ดำเนินรายการ :
ทูลกระหม่อมทรงมีพระวินิจฉัยอย่างไรจึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ข้าพเจ้าและทีมงานสัมภาษณ์พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
ก็อยากจะให้คนที่ดูรายการนี้รู้จักตัวฉันอย่างแท้จริง
ดีกว่าฟังข่าวลืออย่างโน่นอย่างนี้ บางทีข่าวก็บิดเบือน
อันนี้มาจากต้นตอเลย ก็การันตีแล้วว่าเป็นข่าวจริง
ผู้ดำเนินรายการ :
เรื่องอะไรที่ทูลกระหม่อมกังวลใจอยู่ตอนนี้อยู่พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ก็มีอะไรแปลกๆ เยอะ
บางคนก็ลือไสยศาสตร์ บางทีก็บอกฉันว่า ที่ล้มเพราะถูกคนกระทำ
ก็บอกว่าใครจะมากระทำเพราะไม่เคยไปทำร้ายใครใครจะมากระทำ
ผู้ดำเนินรายการ :
และฝ่าพระบาทเองมีการรับมือกับปัญหาในชีวิตยังไงพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ก่อนอื่นต้องบอกว่าเป็นเด็กวัด
คืออยู่วัดป่าบ้านตาดมา 15
ปีกับหลวงตามหาบัว ยังไงคนเราต้องมีแน่สิ่งกระทบ
ขอเรียกว่าสิ่งกระทบทางสังคม อย่างพวกแสงสีเสียง
เสียงอะไรที่เราได้ยินมาเรารับมาล้วนทั้งดีและไม่ดี
พอพระท่านบอกว่า สรรเสริญควบคู่กับนินทา
อยู่ในโลกนี้มันเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าถูกเขานินทาว่าร้ายถ้ายังกระทบใจเรา
สิ่งที่เราต้องกระทำก็คือ พิจารณาตัวเองก่อน
พระท่านสั่งให้พิจารณาตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปพิจารณาคนอื่น
เราต้องดูตัวเราเองก่อนต้องพิจารณาตัวเราเองก่อน
ว่าสิ่งที่เขาว่าที่มากระทบเรานี้มันเป็นจริง
เราเป็นจริงอย่างที่เขาว่าไหม ถ้าเราเป็นจริงต้องแก้ไขด้วยตัวเอง
แก้ไขเสร็จแล้วก็วาง แต่พิจารณาแล้วไม่เป็นจริงก็วางเลย ต้องขอพูดเล่นๆ
ว่า ถ้ามีของเราแบกไว้เราหนักไหม มันหนัก การปล่อยวางวางนี้มันเบาโอ้ยมันสบาย
เพราะฉะนั้นต้องปล่อยวางให้อภัยได้
ผู้ดำเนินรายการ :
แต่บางครั้งดูเหมือนจะยากพระพุทธเจ้าข้า อย่างข้าพพระพุทธเจ้ายังรู้สึกโรคจิตคือแบกอยู่ได้
บางครั้งยังต้องปล่อย แต่ก็คิดว่าพนักงานจะอยู่ยังไง
มันไม่สามารถกลับบ้านไปปิดประตูได้เลย ทำไม่ได้
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ต้องทำให้ได้ค่อยๆ ทำการปล่อยวาง
นี้เป็นสิ่งที่ทำยาก ตัวเราเองนี้ก็ทำยากแต่ต้องปล่อย
อย่างแต่ก่อนเป็นคนนอนไม่หลับ สมัยสาวๆ เป็นคนนอนไม่หลับ
แต่พอมาตอนหลังๆ อยู่กับหลวงตามหาบัว ก็ต้องบอกตัวเองว่า ต้องนอนแล้วนะ
มันก็ต้องหลับ ทุกอย่างวางไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดต่อ ตอนแรกทำยากค่ะ
แต่สิ่งที่จะช่วยได้ในการทำคือการนั่งสมาธิ
พอจิตนิ่งพอสงบมันจะกลายเป็นความสุข
ผู้ดำเนินรายการ :
ทุกวันนี้ทูลกระหม่อมมีความสุขทุกวันเวลาที่ตื่นขึ้นมาไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ :
ก็ไม่ทุกวันหรอกค่ะ ชีวิตคนเราก็ต้องมีสิ่งที่เราถูกใจไม่ถูกใจ
มีทั้งนั้นที่จะมากระทบ แต่ฉันวาง ต้องหัดวางให้เร็ว
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมบอกว่า
ทรงเป็นเด็กวัดตอนนี้ทรงเสด็จฯ
ไปที่วัดของหลวงตามหาบัวได้ข่าวว่าทรงอยู่ในกุฏิเล็กๆ
เองพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
กุฏินี้ห้องห้องเดียวและก็นอนกับพื้น และก็มีห้องน้ำก็ห้องเล็กๆ
เกือบเท่าห้องน้ำในเครื่องบิน อยู่ได้ ก็อยู่มาหลายปีแล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมอยู่มาอย่างสบายๆ
แต่ว่าตอนนี้ทูลกระหม่อมตัดทุกอย่างทิ้งมันทำใจยังไง
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: หลวงตามีวิธีสอนให้ทำใจ
คือตอนที่เป็นลูกศิษย์หลวงตาใหม่ๆ ท่านยังไม่ให้ไปอยู่ในวัด
ท่านบอกขอเตรียมความพร้อมก่อน ท่านให้ไปอยู่โรงแรม ตี
4
กว่าท่านให้เริ่มจากการใส่บาตรตอนเช้า
พอใส่บาตรเสร็จจะเดินตามท่านเข้าไปทานอาหารเช้าพร้อมกับพระ
จากนั้นท่านก็จะเทศน์
พอเทศน์เสร็จท่านก็จะให้พรเป็นอันจบกิจวัตรตอนเช้า
พอตอนบ่ายท่านก็จะให้เข้าไปที่กุฏิหลวงตาและท่านก็จะสอนตัวต่อตัวและก็ติวเข้มเลย
ว่ากิจวัตรประจำวันควรจะเป็นยังไงทำตัวยังไง
ผู้ดำเนินรายการ :
หลวงตาสอนอะไรบ้างพุทธเจ้าข้า ที่ทรงจำได้
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: สอนมากมาย
แต่ว่าหลักใหญ่สำคัญที่ใจ คนเรามีใจเป็นประธาน
ถ้าใจดีแล้วทุกอย่างก็จะดีตามด้วย
และท่านก็สอนอย่างพอมีความทุกข์ก็ไปหาท่าน ท่านก็สอนว่า
อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถดึงมาแก้ไขได้ เพราะฉะนั้น
เรื่องในอดีตให้ปล่อยวางไปเลยอย่าคิด
ผู้ดำเนินรายการ :
หลวงตาท่านดุไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ไม่ดุค่ะ
และท่านก็สอนต่ออีกว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ไม่ควรที่จะไปคาดเดาจินตนาการ
เพราะฉะนั้นจะทำให้ฟุ้งซ่านขอให้อยู่ในปัจจุบัน
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วอนาคตก็จะดีเอง
ผู้ดำเนินรายการ :
เรียกหลวงตาท่านว่าอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ท่านพ่อค่ะ
ผู้ดำเนินรายการ :
หลวงตาเรียกใต้ฝ่าพระบาทว่าอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: หลวงตาท่านเรียกทูลกระหม่อมลูก
ผู้ดำเนินรายการ :
หลังจากหลวงตามหาบัวจากโลกของเราไปแล้ว
ทรงรู้สึกอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้าวินาทีนี้
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ต้องใช้คำว่าว้าเหว่เหมือนกัน
แต่ว่าหลวงตาท่านบอกว่า ให้เก็บพ่อไว้ในใจ
แล้วพ่อจะอยู่ในทูลกระหม่อมลูกตลอดไป
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมอยากฝึกธรรมะเอง
อยากฝึกไปถึงขั้นไหนพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ไม่
คิดแค่ว่าอยากจะเป็นข้างต้นบรรลุพระโสดาบันตามความเชื่อของพระพุทธศาสนา
ถ้าบรรลุพระโสดาบันแล้วจิตจะไมมีวันตกไปอยู่ในความชั่ว
มันจะดีแล้วมันก็จะดีไปตลอด แม้ว่าต้องมาเกิดในโลกมนุษย์นี้บ้างก็อีก
7 ชาติ บ้างก็อีก
3 ชาติ บ้างก็ชาติเดียว
อันนี้ท่านเขียนไว้ในพระไตรปิฎก และก็ที่พูดถึงว่ามีชาติกี่ชาติ
ไม่รู้ว่าใครสัมภาษณ์ใคร ต้องถามคุณวู้ดดี้ว่าอยากเกิดอีกไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ : ข้าพระพุทธเจ้ายอมรับว่า
อยาก พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอยากที่จะอยู่บนโลกนี้
ข้าพระพุทธเจ้ามีความสุขที่ได้อยู่บนโลกนี้ ไม่อยากตาย
แต่ทุกคนบอกว่าจะต้องตายไปจากโลกนี้หรือนิพพานอะไรซักอย่าง
ถึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้ายังยึดติดอยู่
ไม่อยากตายพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
คนเราเกิดมาต้องตายหมดทุกคนเพราะฉะนั้นการเกิดก็มีทุกข์แล้ว
ลองสังเกตดูนะคุณวู้ดดี้ มีเด็กคนไหนไหมเกิดมาแล้วหัวเราะ
เกิดมามีแต่ร้องไห้เลย (พระพุทธเจ้าข้า)
เพราะฉะนั้นแสดงว่ามีทุกข์ เพราะฉะนั้นการแก่บางคนก็ไม่อยากแก่
และการเจ็บนี้ไม่มีใครอยากเจ็บ และไม่มีใครอยากตาย เพราะฉะนั้นคุณวู้ดดี้ต้องซ้ำๆ
เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ถ้าจะแจงให้ละเอียด
ความทุกข์บนโลกมนุษย์มีอีกเยอะเลย สู้เราตายไปให้พ้นเลยไม่ดีกว่าเหรอ
ผู้ดำเนินรายการ : อยากตายแล้วพระพุทธเจ้าข้า
ผู้ดำเนินรายการ :
อย่างผู้หญิงบางคนจะยึดติดกับแบรนด์เนม ทูลกระหม่อมเองรู้สึกอย่างไร
หลังจากศึกษาธรรมะแล้วทิ้งได้ไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ก็ยังชอบนะแต่ว่าไม่ถึงกับติด
เพราะว่าหลวงตาท่านสอนไม่ให้ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น แต่จริงๆ
แล้วในตัวฉันยังเป็นคนชอบแต่งตัว
ฉันยังเหมือนผู้หญิงธรรมดาแต่ว่าบาปในส่วนอื่นๆ
มาอยู่กับหลวงตาก็ลดลงไปเยอะ คือไม่ทำบาปอะไรอย่างอื่น การฆ่าสัตว์
แม้แต่มด แม้แต่ยุงเคยตบ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ตบแล้ว
(แต่ก่อนตบใช่ไหมพระพุทธเจ้าค่ะ) เคย สมัยก่อนเคยแต่ตอนนี้ไม่แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : จะทำยังไงพระพุทธเจ้าข้า
เวลานั่งสมาธิมันมาไต่ กัดอยู่
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: บางทีก็เอาปากเป่าถ้าตัวมันเบาๆ
แต่ถ้ามันตัวโตหน่อยก็ค่อยคีบไปปล่อยข้างนอก
ผู้ดำเนินรายการ : แล้วเจ้ามดตัวน้อยๆ
ไม่กัดเหรอพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ไม่กัดค่ะ สงสัยมันเรียนธรรมะด้วย
ผู้ดำเนินรายการ :
ทรงหวังที่จะนิพพานเลยหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
ก็อยากนะแต่ชาตินี้คงทำไม่ได้เพราะว่ายังถูกผูกมัดด้วยหน้าที่
คือเกิดมาเป็นลูกพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่มากมาย
คือเป็นอะไรที่ยังต้องทำอะไรเกี่ยวกับทางโลกมาก
เคยคิดว่าอยากจะไปอยู่วัดเลย แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของญาติมิตร
เลยเสาร์-อาทิตย์ไปๆ มาๆ
ผู้ดำเนินรายการ :
ไม่เป็นที่ยอมรับของญาติมิตรหมายความว่ายังไงพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
คือเขาไม่อยากให้ไปเพราะเขากลัวว่าจะหลุดไปเลย
คือกลัวจะไปทางสายนั้นเลย คือเขาห่วงว่าจะติดต่อไม่ได้
กลัวจะไปเป็นอุบาสิกาอยู่ที่วัดเลย
ผู้ดำเนินรายการ :
นอกจากปฏิบัติธรรมแล้วใต้ฝ่าพระบาทยังทรงเป็นกำลังสำคัญ
ดำเนินการจัดทำผ้าป่าสำคัญช่วยชาติของหลวงตาและปัจจุบันนี้ยังคงดำเนินไปถึงขั้นใดแล้วพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
ตอนนี้ทองที่ได้หลังจากที่หลวงตาจะละสังขารนี่อยู่ที่
12 ตันในคลังหลวง
แต่ช่วงที่หลวงตาละสังขารไปแล้วรอพระราชทานเพลิงอยู่ 1
เดือนนี้ก็มีคนมาบริจาคทั้งเงินทั้งทอง
เข้าใจว่าคงจะถึง 13 ตันแล้ว
เพราะว่าคนมาบริจาคเยอะ แล้วพูดก็ไม่น่าเชื่อ เงินเพียงแค่ 30
วันได้มา 600 ล้าน แต่ใน
600
ล้านหลวงตาเขียนไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนว่า ให้ไปซื้อทองเข้าคลังหลวง
ท่านระบุไว้อย่างชัดเจนเลย แต่จริงๆ
แล้วก็อยากจะดำเนินเจตนารมณ์ต่อจากหลวงตาเหมือนกัน
แต่ก็เกรงพระบารมีของตัวฉันเองนี้จะไม่เท่าหลวงตา
ก็อาจจะทำได้แต่ช้าหน่อย
ผู้ดำเนินรายการ :
ทรงพระกรรแสงเยอะไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ไม่ค่ะ
เพราะว่าหลวงตาสั่งไว้ไม่ให้ร้องไห้ แต่มันก็จุกๆ ขึ้นมาเกือบๆ
เหมือนกัน
ผู้ดำเนินรายการ : มันต้องคิดบ้างสิ
ใช่ไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ใช่ แต่ตอนที่รู้สึกอีกตอนนึงก็คือตอนพระราชทานเพลิง
แล้วพอไปเห็นอัฐิท่านนี้ใจนี้กึกแล้ว เอ๊ะ ใจเราจะทนได้ไหม
เพราะว่าเคยเห็นท่านเป็นองค์ๆ เคยคุยกับท่าน
เห็นอีกทีท่านเป็นกระดูกไปแล้ว คือว่าหลวงตาท่านอยากให้เป็นอย่างนั้น
อยากจะให้ดูและจะได้พิจารณา จะได้ไม่ยึดติด
ผู้ดำเนินรายการ :
เขาบอกว่าการที่เราเป็นเจ้าสบายเหลือเกิน มีทุกอย่างเพรียบพร้อม
ทูลกระหม่อมรู้สึกอย่างไรกับประโยคนี้พระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ถือว่าตลกดี
ชีวิตฉันนี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า เกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน
แล้วท่านก็ใช้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
ที่เริ่มออกเยี่ยมราษฎรไปอยู่หน่วยแพทย์ (พอ.สว.) ของท่าน ดูแลประชาชน
ท่านเริ่มใช้ตั้งแต่อายุ 14
ปี แล้วการเรียนก็จำเป็นต้องเรียนพิเศษกลางคืน
ต้องทำงานถวายก่อนแล้วเรียนพิเศษตอนกลางคืน
ทำอย่างนี้มาจนจบปริญญาเอก ซึ่งมันยากเพราะเวลามีเรียนมันน้อย
เวลาพักผ่อนก็น้อย มันก็ง่วง เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
แล้วยังต้องเรียนอีก แต่ก็เข้าใจทูลกระหม่อมเสด็จพ่อเสด็จแม่ว่า
ท่านให้ทำเพื่ออะไร ทำไมต้องทำงานเพราะมีหน้าที่ เข้าใจ
และยิ่งตอนนี้อายุมากขึ้นด้วยยิ่งเข้าใจเสด็จพ่อมากขึ้นเลย
ผู้ดำเนินรายการ :
เข้าใจว่าอย่างไรบ้างพระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
เข้าใจว่าเป็นเจ้าเราต้องบำเพ็ญบารมี คือให้ทานและบารมี
ให้ทานให้ความสุขแก่ราษฎร ให้ความสุขยังไง เช่น เขาป่วยเราก็รักษา
เขาไม่มีอาชีพทำก็นำมาอบรมให้มีอาชีพทำ เขามีปัญหาทางเกษตรกรรม
เช่นน้ำไม่พอ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสร้างเขื่อนให้เขา
บุกไปดูพื้นที่ว่าต้องทำเขื่อนตรงโน้นตรงนี้เพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้
นี้คือพ่ออยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ทรงทำอย่างนี้มา
60 ปี
ผู้ดำเนินรายการ :
ทุกวันนี้ทูลกระหม่อมทรงเสด็จไปเยี่ยมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่โรงพยาบาลศิริราช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้างไหม
พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: คือตอนนี้ฉันทำ (พอ. สว.)
หรือหน่วยแพทย์อาสามา 2
ปี ส่วนมากสมเด็จพ่อก็จะทรงถามว่า ไป พอ.สว.ครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง
ท่านจะถามตลอด เป็นยังไงบ้างราษฎร เจ็บป่วยมากไหม ชาว พอ.สว.ยังอินคูสสปิริตหรือเปล่า
มีปัญหาหรือเปล่า ไปที่ไหนมาบ้างท่านจะถามตลอด ท่านจะ 83
แล้วแต่สมองยังแอ็กทีฟมาก
อินคูสสปิริต หมายถึงยังสามัคคีกัน
ทำงานกันด้วยใจเบิกบาน ฉันสอนชาว พอ.สว.เสมอว่า ทำงานแบบไม่ทุกข์
ไม่ใช่ว่าเจอคนไข้ที่ต่อล้อต่อเถียงแล้วเกิดหงุดหงิดขึ้นมา
ก็บอกว่าไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ได้
เราเป็นหมอเราต้องรู้จักว่าจรรยาบรรณแพทย์คืออะไร
คือคนไข้เขาเจ็บป่วยมาเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะอารมณ์ไม่ดี
เราต้องรับตรงนั้นให้ได้ ถ้าเราจะทำอาชีพคุณหมอ เราก็บอกเขาว่า
รับมาแล้วเราก็ไม่ต้องแบกมันไว้นะ วางมันไปเลยจบ
ผู้ดำเนินรายการ :
วัยรุ่นส่วนใหญ่จะได้รับรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผ่านทางเพลงสรรเสริญพระบารมีตอนก่อนที่เขาจะดูหนังกัน
เห็นโครงการมากมาย แต่เชื่อว่าน้อยคนจะได้มีโอกาสตามเสด็จฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วู้ดดี้รู้ว่าพระองค์ท่านทรงงานหนักขนาดหนักเลย
เพราะได้ข่าวว่าทรงงานตั้งแต่ตี 4 ตี 5
เลยจริงไหมพระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: จริง ท่านทรงงานท่านตรากตรำมากนะ
เมื่อท่านเสด็จเยี่ยมบ้านชาวเขาแถวเชียงใหม่
บางครั้งไม่มีทางก็ต้องเดินทางข้ามเขา บางทีข้ามเขา
7-8 ลูก
บางครั้งฉันเคยตามเสด็จแล้วเราคือต้องอยู่หน่วยแพทย์ ก็ต้องแบกเป้ยา
เพราะว่าอยู่หน่วยแพทย์ก็ต้องใช้ยาได้ ก็ตอนนั้นยังอายุน้อย
คือตอนนั้นยังสาวอยู่รู้สึกว่ามันรำเค็ญ
เจอหมู่บ้านก็อยากให้มีคนป่วยเยอะๆ
จะได้ระบายยาออกจากเป้เพราะมันหนักมาก มันหนัก 14
กิโล
ผู้ดำเนินรายการ :
ในขณะเดียวกันเวลาได้ยินเพลงสรรเสริญฯ ในโรงหนัง
เวลาท่านทอดพระเนตรท่านรู้สึกอย่างไรพระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
:
ก็รู้สึกว่าจะได้เห็นภาพวิถีชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างละนิดอย่างละหน่อย
ฉันว่าน้อยเกินไป ถึงจะน้อยก็ยังภูมิใจอยู่ว่า เด็กรุ่นใหม่อายุ
20
นี้ก็ค่อยรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทำอะไร คือไม่ได้พูดว่าจะโปรโมตว่าตัวเองเป็นเจ้า
แต่อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ
รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกิน
จริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี
วันละ 10 นาที หลังข่าว
อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระราชินีทรงอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ ตอนท่านทรงงานทุ่มพระทัยเต็มที่สำหรับประชาชนคนไทย
ทั้งสองพระองค์ท่านเอาใจใส่มาก พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตามงานชลประทาน
ท่านให้คนมาเข้าเฝ้าฯ ที่โรงพยาบาลทุกวันที่โรงพยาบาล
ผู้ดำเนินรายการ : ตอนนี้เหรอพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ใช่
ผู้ดำเนินรายการ :
แล้วจะมีเวลาบรรทมเหรอพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ท่านบรรทมดึกมาก
บางครั้งท่านก็บรรทมไม่หลับ บางครั้งก็บรรทมน้อย
บางครั้งมีการส่งรูปปัญหาต่างๆ เข้า ท่านก็คอยตาม
อย่างน้ำท่วมคนลำบากไหม ท่านก็ทรงให้ส่งถุงยังชีพไปให้
แต่พอท่านทอดพระเนตรทางโทรทัศน์ว่าทางนั้นก็น้ำท่วม ทางนี้ร้อน
ทางโน้นก็บาดเจ็บ ท่านนี้ตามช่วยเหลือโดยที่ไม่บอกใครด้วย
คือท่านปิดทองหลังพระจริงๆ คือถ้าไม่ได้เป็นลูกท่านคงไม่รู้จริงๆ
ผู้ดำเนินรายการ : เท่าที่คนรุ่นใหม่เขาดูสื่อ
ว่าสำนักพระราชวังจัดการทุกอย่าง พระองค์ท่านก็....
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ท่านสั่งเอง
ผู้ดำเนินรายการ :
ทุกครั้งที่ถุงยังชีวิตออกไปพระเจ้าอยู่หัวก็...
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ใช่ท่านสั่งเอง
ผู้ดำเนินรายการ :
สำนักพระราชวังจะไม่สามารถส่งไปได้ถ้าพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงรับสั่ง
มีประเด็นไหนไหมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงมากที่สุดอันดับต้นๆ เลย
คืออะไรพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: พูดตรงๆ
ทั้งสองพระองค์เป็นห่วงความสามัคคีกลมเกลียวกันในชาติไทย
เพราะว่าถ้าแตกแยกกัน ศัตรูนี้จะทำร้ายเราง่ายมาก คนไทยเราต้องเข้มแข็ง
มีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน สามัคคีกัน ชาติจึงจะเจริญได้
เพราะว่าจะเล่าไปข้าพเจ้าเป็นคนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง
ไม่อยากพูดถึงใครว่าใครดีใครเลวไม่รู้ เพราะไม่เคยคบนักการเมือง
แต่ว่า...รู้แต่ว่า เหตุการณ์ปีที่แล้ว
ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน
อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหลือเกิน
พระเจ้าอยู่หัวจากที่ทรงหัดเดินได้ ตอนนั้นทรงทรุดเลย
เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือนอนแบ่บเลย สมเด็จฯ ก็เสียพระทัยมากเลย
ท่านรับสั่งว่า คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า
กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่า
เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมคิดว่า
ประเทศชาติของเราจะสามารถเดินหน้าเป็นปึกแผ่นด้วยวิธีใดหลังจากนี้
ด้วยวิธีใดบ้างพระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าใครที่ชมอยู่ทางบ้านอาจจะสับสน
ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: จริงๆ แล้วการแบ่งก๊กแบ่งเหล่านี่
มันเป็นของไม่ดีสำหรับบ้านเมือง
คือมีอะไรก็น่าจะค่อยพูดค่อยจาอย่าทำอะไรรุนแรง
การแบ่งก๊กแบ่งเหล่าปิดถนนมันทำให้จราจรติดขัดบ้าง คนก็อารมณ์ไม่ดี
แล้วข้าพเจ้าไม่เข้าข้างใครไม่ว่าสีอะไรต่อสีอะไร
ต้องยกคำพูดของท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย
ตอนนี้เป็นอาจารย์ที่ดูแลทางธรรมะของข้าพเจ้าต่อจากหลวงตามหาบัว อาจารย์อินทร์ถวายนี่เป็นลูกศิษย์ที่สนิทที่สุดคนหนึ่งของหลวงตามหาบัว
ท่านบอกว่า เคยมีคนมาถามท่านว่า เชียร์สีแดงหรือสีเหลือง ท่านบอกว่า
สีกรัก
สีกรัก
นั่นคือสีที่ย้อมเป็นจีวรพระ
ท่านบอกท่านเชียร์สีกรัก
เช่นเดียวกัน
ตัวฉันเอง
ก็คงเชียร์
"สีกรัก"
เหมือนกัน
ผู้ดำเนินรายการ : พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้าจะได้เริ่มเชียร์สีกลักด้วยบ้าง ทูลกระหม่อมเองก็ประชวร
แต่ก็ยังเสด็จไปหลายพื้นที่มากโดยวีลแชร์ อึดอัดไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ไม่ค่ะ เพราะว่าทำนี่มันทำด้วยใจ
คือที่ออก พว.สว.ก็ได้ถามแพทย์เขาแล้วว่าไม่อันตรายใช่ไหม
ตอนที่ช่วงหลวงตาป่วยนี่ จริงๆ แล้วอันตรายสำหรับฉันที่จะเดินทาง
แต่ข้าพเจ้าบอกว่า หลวงตาไม่สบายยังไงก็ต้องไป หมอก็บอกว่า งั้นต้องเอ็กเซอร์ไซส์ตลอด
คือเอ็กเซอร์ไซส์ท่าต่างๆ มีหลายท่า ซึ่งเหนื่อยมากเลย
กว่าจะถึงอุดรธานีเอ็กเซอร์ไซส์ไป
3 ท่า ท่าละ 160
ครั้ง
ผู้ดำเนินรายการ :
บนเครื่องบินหรือพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ใช่
ผู้ดำเนินรายการ : แล้วตอนนี้อาการของพระอุรุ
หรือต้นขานี่เป็นอย่างไรแล้วพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: อย่าใช้ราชาศัพท์มากนะ
เพราะว่าฉันเองไม่ค่อยรู้ราชาศัพท์จะไปกันใหญ่
ผู้ดำเนินรายการ : ข้าพระพุทธเจ้าก็ท่องมา
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: แปลว่าอะไรนะ
ผู้ดำเนินรายการ :
เขาบอกว่าต้นขาพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ท่องมาทั้งคืน
(เสียงทีมงานแทรกพระอุรุแปลว่า กระดูกต้นขา)
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: กระดูกต้นขา ตอนนี้เพิ่งจะทราบ
ผู้ดำเนินรายการ :
ตอนนี้กระดูกต้นขาเป็นอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: ตอนนี้กระดูกติดดีแล้ว
แต่ว่าเดินยังเดินลำบาก เพราะความที่มันไม่ได้เดินมา
3 เดือนมันแข็งไปหมดเลย
ผู้ดำเนินรายการ : เวลาใต้ฝ่าพระบาทประชวร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงให้กำลังพระทัยอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
: การให้กำลังใจของท่านคือ
อย่างสมเด็จฯ นี่พระสุขภาพพลานามัยดีมาก ท่านก็จะมาเยี่ยมบ่อย
ตอนที่ผ่าไทรอยด์ จำได้ว่าท่านมาเยี่ยมบ่อยมาก
ตอนที่กระดูกหักนี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยนึกเลยว่าท่านจะมา
ทั้งๆ ที่ท่านต้องนั่งรถเข็นแต่ท่านก็เสด็จฯ มา
พอเห็นเขาก็น้ำตาคลอแล้วว่า เออพ่อแม่ห่วงถึงขนาดนี้
เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งใจที่หาย
ตั้งใจพยายามทำอย่างดีที่สุดที่จะทำให้หาย
ก็บอกกับพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหมือนกันว่า
มีกำลังใจและตั้งใจที่จะหายเพื่อที่จะมาถวายงานต่อไป
ทั้งนี้ ในตอนท้ายรายการ
ผู้ดำเนินรายการได้ถามถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเทปดังกล่าวนั้นจะออกอากาศอีกครั้งในคืนวันอาทิตย์ที่ 10
เมษายนนี้
|