
พิธีกร (โจนาธาน)
เราโชคดีมากที่คุณจักรภพมาในวันนี้
เพื่อที่จะให้ความรู้แก่เราในมุมมองที่แตกต่างออกไปจากมุมมองของคณะปฏิรูป
ตลอดจนแผนการนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทย
จักรภพ เพ็ญแข
ขอบคุณ โจนาธาน สมาชิกผู้ทรงเกียรติและเพื่อนๆ
ผมอยากเล่าเจาะจงลงไปว่าผมได้ผ่านอะไรมาบ้าง
พวกคุณจะได้เข้าใจสถานการณ์ของผม
ผมเพิ่งออกจากคุกคุณเปรม
ไม่ใช่คุกทั่วไป
แต่เป็นคุกคุณเปรม
ซึ่งเป็นวิธีการของคุณเปรมในการสื่อสารกับประชาชนว่า
เขาเป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้ คุณเปรมเป็นใคร
เขาเป็นตัวแทนของใคร
เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราจะอภิปรายกันในคืนนี้
เพราะมันเกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยในปัจจุบันและในอนาคตของประเทศไทยอย่างที่พวกคุณทราบกัน
เพราะพวกคุณส่วนใหญ่ก็มีความรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับประเทศไทยตลอดจนความซับซ้อน
เรื่องปวดหัวที่ไม่จำเป็นและสถานการณ์ทางการเมืองของไทย
โจนาธานกำหนดหัวข้อใหญ่มากให้ผม คือ
“ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ของไทย”
ให้เป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายเกี่ยวกับการทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย
ซึ่งผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด
ที่จริงหากพิจารณาสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันก็คงไม่มีหัวข้อไหนเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
วิกฤตทางการเมืองในปัจจุบันตามความเห็นของผม
คือความขัดแย้งกันระหว่างประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นความขัดแย้งแบบเผชิญหน้าและจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและรากฐานของประเทศ
ซึ่งเดิมพันสูงมากทั้งสองฝ่าย ทั้งประชาธิปไตยและระบบอุปถัมภ์
และถ้าท่านพิจารณาผลการลงประชามติ เมื่อวันที่
19
สิงหาคม อย่างจริงจัง
ท่านจะเห็นว่าเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนจำนวน
56
% และ 41 %
ของประชากรทั้งหมด
ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า “เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป”
เราต้องการประชาธิปไตย มิใช่คนที่บอกเราว่า “เราจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นเล็กน้อย
แต่คุณต้องสำนึกในบุญคุณของเรา”
ถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเป็นสิทธิ์ระดับชาติของประชาชนไทยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ผมเชื่อว่าเราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ภายในชั่วชีวิตของเรา
การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงซึ่งกำลังเริ่มขึ้นในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม เราเริ่มต้นด้วยการเป็นประเทศในระบบอุปถัมภ์
พวกคุณส่วนใหญ่คงเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยและประวัติศาสตร์สั้นๆ
ของประเทศไทย
เพราะเราตัดสินใจที่จะนับประวัติศาสตร์ไทยย้อนหลังไปเพียง
700 ปี
โดยไม่สนใจช่วง
300 ปีก่อนหน้านั้น
เพราะเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความยุ่งยากทางภาคใต้
ดังนั้น ประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงถูกเลือกให้เริ่มต้นเมื่อ
700 ปีที่แล้วในสมัยสุโขทัย
ซึ่งมีสุโขทัยเป็นเมืองหลวง
ในรัชสมัยหนึ่งในยุคสุโขทัยเราถูกชักนำให้เชื่อว่ากษัตริย์องค์หนึ่งในสมัยสุโขทัย
คือ พ่อขุนรามคำแหง
เป็น
“พี่ชายที่ยิ่งใหญ่”
ขอโทษ “พ่อขุนรามคำแหงที่ยิ่งใหญ่”
เนื่องจากแนวคิดที่ว่ากษัตริย์เปรียบเหมือนพระเจ้า
ยังมิได้เข้ามาในแผ่นดินไทยในสมัยสุโขทัย ดังนั้น
กษัตริย์ในสมัยสุโขทัยจึงถูกมองว่าเป็น
“พ่อที่ยิ่งใหญ่”
ผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อประชาชนและให้สิ่งที่ประชาชนต้องการ
ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ
พ่อขุนรามคำแหงให้นำระฆังมาแขวนไว้หน้าวัง
ผู้ใดมีปัญหาก็สามารถมาเคาะระฆังได้
และพระองค์หรือคนของพระองค์ก็จะออกมาช่วยจัดการแก้ปัญหาให้
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในบทเรียนแรกๆ
ที่นักเรียนไทยได้เรียนเกี่ยวกับระบอบการปกครองของไทยว่า
เราสามารถที่จะพึ่งพาใครได้
เมื่อเรามีปัญหาก็หันไปหาผู้ที่สามารถช่วยเราได้
ด้วยเหตุนี้
ก่อนที่เราจะรู้ตัวเราก็ถูกชักนำเข้าไปสู่ระบบอุปถัมภ์เสียแล้ว
เพราะเราเรียกหาการพึ่งพาอาศัย
การอุปการะก่อนที่จะใช้ความสามารถของตนเอง
สิ่งเหล่านี้เป็นแนวคิดพื้นฐานที่ทำให้คนไทยแตกต่างจากชนชาติอื่นในโลก
เราเริ่มต้นมาเช่นนั้น
ในสมัยสุโขทัยเรามีกษัตริย์ที่ทำเช่นนั้น ดังนั้น
ประชาชนจึงมีหน้าที่ที่จะซื่อสัตย์
ประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องมีความศรัทธาในระบบซึ่งมีผู้มอบให้แก่พวกเขา
เพราะเป็นระบบที่ใช้ได้ผลในช่วงเวลานั้นและไม่มีระบบอื่นที่สามารถแข่งได้
กล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็คือ
ไม่มีแนวคิดที่ดีกว่านี้ในการปกครองอาณาจักรไทย
ระบบดังกล่าวจึงเป็นระบบที่ดีที่สุดในขณะนั้น
ต่อมาในสมัยอยุธยา ซึ่งมีอยุธยาเป็นเมืองหลวงเป็นเวลา
400
กว่าปี
แนวคิดที่ว่ากษัตริย์เปรียบเหมือนพระเจ้าถูกนำเข้ามาโดยได้รับอิทธิพลจากอารยะธรรมเขมร
กษัตริย์เป็นกึ่งเทพเจ้า
เป็นตัวแทนของเทพในศาสนาฮินดูและพระเจ้าที่อยู่เหนือเทพทั้งหลาย
ดังนั้น ระบบอุปถัมภ์ซึ่งให้ความช่วยเหลือประชาชน
เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นการปกป้อง
ถ้าคุณมีความซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์
ความซื่อสัตย์โดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
คุณจะได้รับการปกป้อง
และเพื่อแสดงให้เห็นการปกป้องอย่างชัดเจน
ประชาชนที่ทำในทางตรงกันข้ามจะถูกลงโทษ ดังนั้น
จะเห็นได้ว่าระบบในสมัยอยุธยาเป็นการแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของระบบ
ประชาชนบางกลุ่มอาจเห็นว่าเป็นการถดถอย
บางกลุ่มอาจเห็นว่าเป็นการพัฒนา
ไม่ว่าคุณจะเห็นว่าเป็นอะไรก็ตาม
มันเป็นการผสมผสานระหว่างความเมตตากรุณาของ
“พ่อผู้ยิ่งใหญ่”
และ “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่”
กล่าวคือ
กษัตริย์สมัยอยุธยามีอำนาจและหลักการของอำนาจในสมัยนั้นก็คือ
ถ้าผู้มีอำนาจมีความเมตตา คุณก็จะได้รับประโยชน์จากอำนาจนั้นด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สมัยอยุธยาสอนให้คนไทยมีชีวิตอยู่กับอำนาจ
จะดำเนินชีวิตอยู่กับอำนาจได้อย่างไร
จะเอาตัวรอดจากอำนาจได้อย่างไร
และจะทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกอำนาจทำลาย
แต่สมัยอยุธยาก็ได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ขึ้นในประเทศไทย
คือความสัมพันธ์ระหว่างนายกับทาส
ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นผู้ดีผู้มียศศักดิ์กับสามัญชน
นั่นคือสมัยอยุธยา
ต่อมาก็เป็นสมัยรัตนโกสินทร์
ผมจะขอข้ามสมัยธนบุรีช่วง
12
ปีไป ในสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสมัยปัจจุบันนั้น
ราชวงศ์จักรีเป็นราชวงศ์ที่เริ่มต้นสมัยรัตนโกสินทร์
ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสมัยอยุธยาและทักษะใหม่ๆ
ซึ่งผมจะของเรียกว่า “การบริหารจัดการความรู้”
กล่าวคือความรุ่งเรืองของ
“พ่อผู้ยิ่งใหญ่”
ผสมผสานกับอำนาจสมัยอยุธยา
และความสำคัญของความเป็นกษัตริย์กึ่งเทพเจ้า
รวมเข้ากับการบริหารจัดการความรู้ในสมัยรัตนโกสินทร์
โดยเข้าใจกันว่า ความรู้คืออำนาจ
ดังนั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพูดภาษาอังกฤษในราชสำนัก
พระองค์ทรงริเริ่มนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์
ตลอดจนสินค้าต่างประเทศ
ซึ่งคนไทยไม่เคยรู้จักเข้ามาเป็นแหล่งอำนาจแหล่งหนึ่งของพระองค์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มิใช่กษัตริย์ผู้เมตตากรุณา
มิใช่กษัตริย์ผู้เป็นพ่อที่ยิ่งใหญ่
และพระองค์ก็ยังได้รับการยกย่องเช่นนั่นจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า
ระบบของไทยมาถึงจุดที่ผู้นำและผู้ปกครองพยายามหาวิธีทีดีที่สุดในขณะนั้น
ที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่าสามารถไว้วางใจและเชื่อถือผู้นำได้
โดยวิธีการที่ผู้นำจะทำตัวให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจก็จะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย
ดังที่ผมได้บรรยายมาแล้ว
ขณะนี้เราอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
เรามีทุกสิ่งที่กล่าวมาแล้วรวมกัน
และเนื่องจากพระองค์ทรงครองราชย์นานมาก
60
ปีแล้ว
พระองค์จึงทรงได้รับยกย่องให้เป็นตำนาน
ประชาชนไม่รู้เลยว่า พวกเขากำลังพูดถึงความจริงหรือความเชื่อเกี่ยวกับพระองค์
เพราะพระองค์ทรงครองราชย์มานานมาก จนสามารถเป็นได้
ทุกอย่างรวมกัน ทั้งกษัตริย์ตามที่สืบทอดกันมา
กษัตริย์นักวิทยาศาสตร์ กษัตริย์นักพัฒนา
กษัตริย์นักทำงาน
และขณะนี้พระองค์ยังทรงเป็นผู้พิทักษ์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ของประเทศไทย
นั่นคือประชาธิปไตย
ทั้งหมดนั่นกำลังเผชิญหน้าเราอยู่
เรามีปัจจัยเหล่านี้มากมายซึ่งเราต้องปรับปรุงและจัดลำดับใหม่
ในอดีตเราเคยพลาดโอกาส อย่างในสมัย
นายปรีดี พนมยงค์
ผู้นำพลเรือนในการปฏิวัติเมื่อ ค.ศ.1932
หรือ พ.ศ.2475
ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงระบบจากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ซึ่งขณะนั้นตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
นายปรีดีกล่าวในเวลาต่อมาว่า เขายึดอำนาจได้เมื่ออายุ
32 ปี และเมื่ออายุใกล้ 50
ปี เขาหมดอำนาจและไปใช้ชีวิต อยู่ที่กรุงปักกิ่ง 10
ปี และต่อจากนั้นก็ไปอยู่ฝรั่งเศส
เขาไม่เคยกลับมาเมืองไทยเลย
มีเพียงเถ้ากระดูกเท่านั้นที่ถูกนำกลับมา เขาเคยกล่าวว่า
“เมื่อผมมีอำนาจผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้อำนาจนั้นอย่างไร
แต่เมื่อผมอายุมากขึ้นและรู้ว่าจะใช้อำนาจอย่างไรผมกลับไม่มีอำนาจแล้ว”
แนวคิดที่ว่าเรามีอะไรหรือได้อะไรมาไม่ถูกเวลา เตือนให้เราทราบว่า
เราอาจจำเป็นต้องมีผู้นำที่จะช่วยปรับปรุงทุกสิ่ง
ทุกอย่างให้เราใหม่
ท่านเห็นหรือไม่ว่าทุกอย่างที่ผมกล่าวมาตั้งแต่ต้นนำไปสู่ความเชื่อที่คนไทยยังคงมีอยู่ว่า
ด้วยการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้
เราก็ไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตย
เราถูกชักนำให้เชื่อว่ารูปแบบของรัฐบาลที่ดีที่สุดคือ
ประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำ
หรือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำ
การนำทางที่ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเป็นการพัฒนาแนวคิดและความเชื่ออย่างต่อเนื่องมาจนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
ซึ่งผมมองว่ามันเป็นความขัดแย้งแบบเผชิญหน้ากันระหว่างประชาธิปไตยและระบบอุปถัมภ์
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
คนไทยถูกทำให้รู้สึกสบายใจกับระบบอุปถัมภ์
เราเริ่มใช้คำว่า
“ไม่เป็นไร”
เพราะไม่มีวิธีอื่นที่จะพูด
เราใช้วิธียิ้มตลอดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เพราะการยิ้มเป็นวิธีการช่วยให้หลุดพ้นจากปัญหา
ไม่มีวิธีอื่น และเราก็มีคำกล่าวและความเชื่อว่า
“ค่าของคนคือคนของใคร”
ดังนั้น
ความคิดและคำกล่าวเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่ว่าการที่มีคนคอยอุปถัมภ์เรานั้นเป็นสิ่งที่รับได้
ผมไปศึกษาต่อที่สหรัฐในปี
1992
และผมไม่เคยเข้าใจเลยในตอนนั้นว่าทำไมคนมักจะโกรธเมื่อมีคนคอยช่วยเหลือ
เพื่อนผมบางคนตอบอย่างโกรธๆ ว่า
“ไม่ต้องมาคอยช่วย”
ผมไม่เข้าใจเพราะผมคิดว่าการที่มีคนคอยช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง
การถูกประจบถูกยกยอเป็นเรื่องปกติ
เพราะชีวิตคุณก็ขึ้นอยู่กับคนอื่นด้วย ดังนั้น
การที่มีคนคอยช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เรื่องบาปไม่ใช่ความชั่ว
แต่ทั้งหมดนั้นก็มาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ซึ่งเป็นสาเหตุที่เรากำลังขัดแย้งกันในขณะนี้เพราะมีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาบอกว่า
“ไม่
เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์อัปรีย์ของคุณอีกต่อไป”
ประชาชน 41
เปอร์เซ็นต์
ลงประชามติไม่รับรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยพวกเผด็จการและบริวาร
เป็นผลของการวิ่งเต้นครั้งใหญ่ในระบบราชการ ด้วยการลงทุน
ด้วยงบประมาณจำนวนมาก
ที่จะเปลี่ยนประเทศทั้งประเทศให้ยอมรับรัฐธรรมนูญ
พวกคุณคงยังจำกันได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง
และบางคนก็เชื่อว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในกระบวนการรณรงค์การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในการนับคะแนนเสียง
แต่ทั้งหมดนั่นรวมทั้งเล่ห์กลต่างๆ ของพี่ใหญ่ พวกเขาก็ได้เพียง
56 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งก็รวมถึงการติดป้ายโฆษณาใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ
และอาจจะนอกกรุงเทพฯ ด้วยแต่ผมไม่เห็น
ผมเห็นแต่ป้ายโฆษณาจำนวนมากตลอดทางยกระดับดอนเมือง
ซึ่งมีข้อความเช่น “พวกเราคนไทยต้องลงเรือลำเดียวกัน
เราร่วมโชคชะตาเดียวกัน ลงเรือลำเดียวกัน”
แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือชื่อท้ายข้อความบนป้ายที่ว่า
“ประชาชนคนเสื้อเหลือง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “ประชาชนคนเสื้อเหลือง”
รวมกับเล่ห์กลทุกอย่างแต่คุณกลับได้เพียง 56
เปอร์เซ็นต์
นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของคุณแล้ว
ซึ่งถ้าเช่นนั้นประเทศไทยก็ใกล้จะถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงระหว่างประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์คือ
ผมคิดว่าประชาชนเริ่มออกมาจากยุคเก่าแล้ว
ผมเองก็เติบโตขึ้นมาในระบบอุปถัมภ์ ผมก็ถูกตามใจด้วย
คุณพ่อผมเป็นทหารอากาศและต่อมาก็เป็นนักบินของบริษัทการบินไทย
ซึ่งเป็นนักบินคนไทยรุ่นแรกของบริษัท
ท่านจึงมีเงินเดือนมากพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้
และผมก็ไม่ต้องต่อสู้กับความทุกข์ยากของชีวิตอย่างที่ท่านเคยประสบมา
ท่านก็โตมาในระบบอุปถัมภ์เช่นกัน
ผมไม่เห็นคุณค่าของอาหารเท่าที่ควรเพราะจะมีคนคอยบริการนำอาหารมาให้ผมที่โต๊ะเสมอ
ผมไม่เคยรู้สึกว่ากินอาหารค่ำคืนนี้แล้วจะไม่มีอะไรกินในวันรุ่งขึ้น
แต่คุณพ่อของผมผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาแล้ว
ผมเติบโตขึ้นมาอย่างสะดวกสบายในระบบนั้น
ผมเริ่มสงสัยในแนวคิดของระบบอุปถัมภ์ในเวลาต่อมา
เมื่อผมทำงานเป็นนักข่าวประจำสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง
และเริ่มตรวจสอบประเทศไทยและสังคมไทยอย่างจริงจัง
ผมพบว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
ผมใช้เวลาหลายปีรวมทั้งประสบการณ์ของผมตอนทำงานในรัฐบาลทักษิณที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้
ระบบอุปถัมภ์เป็นตัวปัญหา
เพราะมันส่งเสริมความไม่เท่าเทียมกันของปัจเจกบุคคล
และนั่นคือความขัดแย้งโดยตรงกับประชาธิปไตย
มันส่งเสริมให้คนคิดพึ่งพาคนอื่น
มันก่อให้เกิดทาษจำนวนมหาศาลแต่มีนายเพียงจำนวนไม่กี่คน
มันขัดขวางมิให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากยุคสมัยเก่า
ด้วยเหตุนี้
พวกเราจำนวนมากยังคงเหมือนเด็กอยู่แม้ว่าจะได้รับการศึกษามานาน
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มาเป็นเวลานาน
แม้ว่าจะไม่เคยแยกแยะความแตกต่างของวัฒนธรรมต่างชาติมาเป็นเวลานาน
คุณลองสังเกตการต่อสู้ทางการเมืองของไทยแล้วคุณจะพบว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องจุกจิกเล็กๆ
น้อยๆ
วิธีการที่พวกเขาเล่นกันหรือสู้กันเหมือนเป็นเกมของเด็ก
เพราะในระบบอุปถัมภ์คุณยังคงเป็นเด็กอยู่
คุณยังคงเป็นคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นอยู่ ดังนั้น
การคิดเล็กคิดน้อยจึงยังมีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย
พวกคุณคงเห็นตัวอย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย
คุณคงได้อ่านข่าวคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
มีปัญหากับชื่อใหม่ของพรรคไทยรักไทย
ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นพรรคใหม่ที่ชื่อ
“พรรคพลังประชาชน”
พรรคพยายามใช้กลอุบายในการเปลี่ยนหรือปรับชื่อเพื่อให้ประชาชนรู้ว่ายังคงเป็นพรรคไทยรักไทยอยู่
ดังนั้น พรรคจึงเปลี่ยนชื่อและได้รับการรับรองจาก กกต.
แต่ต่อมา กกต. พบว่าชื่อพรรคที่เปลี่ยนนั้นใช้ตัวย่อ
“ทรท”
เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทย กกต.
จึงยกเลิกการรับรองการตั้งพรรค
เพื่อที่ว่าเราจะได้ใช้ชื่อนั้นไม่ได้ เพราะมันคือ ทรท.
เหมือนเดิม ฝันร้ายของผมกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
กล่าวคือความจุกจิก
การคิดเล็กคิดน้อยนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการที่เราเล่นเกมการเมืองกันในศตวรรษที่
21 นี้
นายกฯทักษิณ ซึ่งผมได้ทำงานด้วย
และเริ่มรู้สึกชอบท่านเป็นการส่วนตัวได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
เหมือนกับการละเมอเดินขณะหลับอยู่
นายกฯทักษิณได้กำจัดอำนาจของระบบอุปถัมภ์
และเปลี่ยนให้เป็นนโยบายสาธารณะ
ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์
ผมอยู่กับท่านด้วยผมจึงทราบว่า
ท่านมิได้แนะนำนโยบายเหล่านั้นในเชิงปรัชญา
ท่านเพียงต้องการทำงานให้สำเร็จ
ท่านต้องการให้ประชาชนชอบท่าน รักท่าน
ท่านต้องการเป็นคนรวยที่มีประโยชน์
ซึ่งนั้นคือวิธีที่ท่านจัดการกับเงินของท่าน
แต่แล้วความเป็นกันเองของท่านก็กลายเป็นความขัดแย้งกับระบบอุปถัมภ์
เพราะสิ่งที่ท่านทำในแบบของท่านสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง
5
ปี
ประชาชนระดับรากหญ้าเริ่มรู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิ์
พวกเขามีสิทธิ์ที่จะรู้สึกว่า
พวกเขาสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิมได้มากกว่าที่จะรู้สึกว่าดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย
กล่าวคือพวกเขามีทางเลือกใหม่
และทักษิณมิได้ทำไปเพื่อท้าทายใคร
แต่มีคนรู้สึกว่าถูกท้าทายจากสิ่งที่เขาทำ
เมื่อเขาชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกโดยกวาดที่นั่งในสภาได้ถึง
377
จาก 500
ที่นั่ง
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และเป็นเสียงส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ผมจะเล่า
"ความลับ"
ให้คุณฟังภายหลังว่า
มีการสนทนาส่วนตัว
ซึ่งผมไม่สามารถเปิดเผยได้ในคืนนี้
แสดงให้เห็นว่ามีบรรยากาศการข่มขู่คุกคาม
ภายหลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้งว่าทักษิณกวาดที่นั่งในสภาได้ถึง
377 จาก 500
ที่นั่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทักษิณไม่ได้รับความไว้วางใจ
เพราะทักษิณละเมิดกฎของการพึ่งพาอาศัย
ท่านเริ่มเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น
และนั่นคือบาปในระบบอุปถัมภ์
ทักษิณทำถูกหรือผิดขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์จะเป็นผู้ตัดสิน
คุณสามารถลากเขาขึ้นศาลได้ไม่สำคัญ
แต่สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้กับประเทศไทย
เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ท่านเกือบไม่ได้ทำอะไรให้คนกรุงเทพฯเลย
เพราะท่านรู้สึกว่าคนกรุงเทพฯไม่ได้ต้องการท่านมากนัก
ถ้าคุณถามคนกรุงเทพฯ
ว่าทักษิณทำอะไรให้พวกเขาบ้าง คงต้องใช้เวลาสัก
2
สัปดาห์กว่าพวกเขาจะนึกออก
แต่ถ้าคุณถามประชาชนระดับรากหญ้า พวกเขาสามารถบอกได้ทันที
10
อย่าง
ที่พวกเขารู้สึกว่าได้จากระบบใหม่ของทักษิณ
ถ้าถามว่าทักษิณให้ความอุปถัมภ์พวกเขาหรือไม่
ก็อาจเป็นได้
แต่ท่านมิได้หมายความว่าจะต้องทำด้วยวิธีนั้น
และผมสามารถบอกคุณได้จากการสังเกตของผมเองว่า
ท่านมีความคิดเกี่ยวกับนโยบายเหล่านี้อย่างไร
คุณทราบไหมว่าท่านได้วางแผนไว้ว่าในช่วง 2
ปีสุดท้ายของสมัยที่ 2
ที่ท่านเป็นนายกฯ ท่านจะอยู่ในเมืองไทยเพียง 1
ใน 3 ของเวลาทั้งหมด ท่านจะใช้เวลา
2 ใน 3 ของ
2 ปีสุดท้ายเดินทางไปทั่วโลก
ท่านกล่าวว่าท่านจะสวมบทบาทเป็น “พนักงาน”
ของประเทศไทยในช่วง 2 ปีสุดท้าย
แต่ท่านก็สูญเสียโอกาสนั้นไป
ท่านถูกยึดอำนาจขณะที่กำลังรอที่จะกล่าวปราศรัยในที่ประชุมสหประชาชาติ
หลังจากการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19
กันยายน 2549
เราวางแผนที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
แต่โทรศัพท์จากกรุงเทพฯ
ได้เปลี่ยนแผนทั้งหมด ผมคิดว่าเราพลาด
เราควรทำตามแผน เราควรทำให้คณะปฏิรูป รัฐบาลสุรยุทธ์
และพรรคพวกของเขา กลายเป็นพวกนอกกฎหมายเช่นเดียวกับเฮงสัมรินกับรัฐบาลฮุนเซนเมื่อหลายปีก่อน
เราควรทำเช่นนั้น แต่โทรศัพท์จากกรุงเทพฯ
ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เราจะทำอะไรได้ ผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ
ในคณะผู้ติดตาม ตอนนั้นผมเป็นผู้ช่วยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ผมควรจะยืนกรานในเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น
และถ้าจะเกิดการเผชิญหน้าการปะทะกันก็ปล่อยให้เกิดไป
เรากำลังพูดในแง่มุมของประวัติศาสตร์ว่า แม้แต่นายกรัฐมนตรี
ซึ่งได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน
สิ่งที่ท่านทำเป็นการปลดปล่อยประชาชนจากระบบอุปถัมภ์
แต่เมื่อมีการตัดสินใจครั้งสำคัญ
ท่านก็ตัดสินใจออกจากระบบอุปถัมภ์
ระบบอุปถัมภ์หยั่งรากลึกและขัดแย้งโดยตรงกับการทำให้เป็นประชาธิปไตย
เราต้องทำการเปลี่ยนแปลง
เราต้องถามว่าใครกันที่คอยให้ความอุปถัมภ์ประชาชน
และผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำเช่นนั้น
เมื่อคุณเข้าคุกมาแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นไร
เราเข้าคุกอีกได้เพื่อให้วัตถุประสงค์ของเราเป็นจริง
ไม่เป็นไรเลย
ผมกำลังรอพิจารณาคดีที่สองที่ผมถูกกล่าวหา
คดีการลอบดักฟังโทรศัพท์ในวันที่ 22 มิถุนายน
ระหว่างการประท้วงที่สนามหลวง
ผมได้เปิดเผยเทปการสนทนาทางโทรศัพท์ของบุคคล 3 คน
สองคนอยู่ในวงการยุติธรรม คนหนึ่งอยู่ศาลฎีกา
อีกคนหนึ่งอยู่ศาลอุทธรณ์
อีกคนหนึ่งว่ากันว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบรักร่วมเพศกับผู้มีอำนาจ
และพวกเขากำลังพูดกันถึงวิธีที่จะนำพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวมาใช้
ให้เป็นประโยชน์ในการจัดการกับรัฐบาลทักษิณและจัดการกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเข้าข้างทักษิณเรื่องราวที่เหลือคุณก็ติดตามได้จากรายละเอียดในหนังสือพิมพ์ไทย
อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาถูกบังคับให้เผชิญกับความจริงเกี่ยวกับวิธีการทำงานของระบบอุปถัมภ์
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของระบบอมาตยาธิปไตย
วิธีการที่พวกเขาช่วยเหลือเกื้อกูลกันและใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
วิธีการที่พวกเขาดูถูกประชาชนโดยไม่สนับสนุนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
วิธีการที่พวกเขาคิดว่าประชาธิปไตยต้องถูกชี้นำ
ดังนั้นเทปการสนทนานี้จะเป็นคดีใหญ่จากนี้ต่อไป
ตำรวจกล่าวหาว่าผมกับเพื่อนของผมลอบดักฟังโทรศัพท์โดยผิดกฎหมาย
แต่มันไม่ใช่ประเด็น
มันเป็นความตั้งใจของบุคคลที่สามในการสนทนานั้นที่จะอัดเทปเอาไว้
และเขาก็จะแสดงตัวในไม่ช้านี้
ตอนนั้นเขาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นคดีนี้จะถูกพิจารณาในศาล
ความตั้งใจของผมไม่ใช่การพิสูจน์ว่าผมดักฟังเทปหรือไม่
แต่ผมต้องการเอา
คุณเปรม-พลเอกเปรม
และผู้พิพากษา 2 คนขึ้นศาล
นั่นคือความตั้งใจของผม
และเมื่อนั้นผมก็จะเผชิญหน้าคุณเปรมในศาลและถามท่านว่า
ทำไมผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านจึงมีความสงสัยในประชาธิปไตยเช่นนี้
ท่านเคยเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่แต่ท่านเปลี่ยนไป
ผู้ที่เคยเป็นผู้นำที่ประเทศไทยจะขาดเสียไม่ได้กลายเป็นผู้นำที่อยู่ผิดเวลา
คุณเปรมเป็นสัญลักษณ์ของอะไรหลายอย่าง
เราได้เรียนรู้จากคุณเปรมว่าคนดีคนหนึ่งเมื่อแก่ตัวลง
ซึ่งไม่เกี่ยวกับอายุ
แต่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดที่ไม่กล้าได้กล้าเสียอีกต่อไป
ความรู้สึกที่อยากถอยเวลากลับไปหาเวลาในอดีตที่เขารู้สึกพอใจ
แต่คนแก่คนนี้ไม่เหมาะที่จะมีอิทธิพลต่อประเทศไทยอีกต่อไป
ผมขอโทษ ผมมีเวลามากจนผมอยากจะบอกว่า
ไม่ว่าผมจะอยู่ในคุกหรือนอกคุก ผมพบว่า
ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันโดยตรง
และการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 23
ธันวาคมนั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้
สถานการณ์หลังการเลือกตั้งจะเลวร้ายลง
เพราะเล่ห์เหลี่ยมทั้งหลายจะถูกนำมาใช้จนหมด
แล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงก็จะถูกเปิดเผยออกมาว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมให้มีประชาธิปไตยในประเทศนี้
ถ้าคุณไปที่สนามหลวงคุณจะมีความรู้สึกเหมือนผมว่า
ประชาชนคนไทยไม่ใช่เด็กอีกต่อไป
พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกบังคับให้ใส่เสื้อผ้าของเด็ก
พวกเขารู้สึกหงุดหงิดอึดอัดทั้งใจและกาย
และพยายามดิ้นรนที่จะปลดปล่อยตัวเอง
ผมไม่ทราบว่าพวกเขาจะทำได้อย่างไร แต่พวกเขาจะต้องทำได้
ผมขอจบตรงนี้
ผมหวังว่าความคิดเห็นของผมจะทำให้เกิดคำถามและการอภิปรายต่อจากนี้
ผมอยากได้ยินความคิดเห็นและคำถามของท่าน ผมอยากทราบว่า
ท่านมองประเทศไทยอย่างไร
เพราะพวกท่านหลายคนก็อยู่ในเมืองไทยมานานแล้ว
พวกท่านบางคนก็รักเมืองไทยมาก
ซึ่งผมก็ไม่อยากทำลายความรู้สึกของท่าน
ผมจึงอยากทราบว่าท่านรู้สึกอย่างไร ขอบคุณครับ
ถาม
ในตอนหนึ่งคุณพูดว่า
ประเทศไทยต้องการผู้นำที่จะมาปรับเปลี่ยนสถาบันต่างๆ ในปัจจุบัน
คุณกล่าวว่าระบบอุปถัมภ์เป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้
อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนว่าคุณจะคิดว่าประเทศไทยจะได้รับการแก้ไขและคลี่คลายได้หากมีผู้นำที่มีอำนาจซึ่งคุณกล่าวถึงคุณทักษิณซึ่งคุณเคยทำงานให้
ผมสงสัยว่าภายใต้ทักษิณ
ชินวัตร ก็เป็นระบบอุปถัมภ์เช่นกันมิใช่หรือ
ทักษิณก็อาศัยระบบอุปถัมภ์ในการเอาประชาชนมาเป็นพวกเช่นเดียวกัน
มิใช่หรือ
ตอบ
ผู้นำที่ผมพูดถึงอาจไม่ใช่คุณทักษิณ
ที่จริงผมควรใช้คำว่า ภาวะการเป็นผู้นำ มากกว่าผู้นำ
ผมต้องการพูดว่าระบบอุปถัมภ์ได้เปลี่ยนแปลงและจัดระเบียบสิ่งต่างๆ
ให้ถูกต้อง แต่เมื่อประชาชนเริ่มปฎิเสธระบบอุปถัมภ์
พวกเขาต้องการภาวะการเป็นผู้นำที่แตกต่างจากเดิมเพื่อช่วยให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ
จนสำเร็จ ผมก็ไม่ทราบเช่นกันว่า
การเป็นผู้นำแบบใหม่จะมีลักษณะเช่นใด แต่ถ้าคุณถามผม
ถ้าผมต้องให้ความเห็น ผมก็อยากจะบอกว่า
การเป็นผู้นำแบบใหม่จะต้องสามารถลดความไม่เท่าเทียมกันของสิทธิที่ประชาชนในเมืองใหญ่และในส่วนอื่นของประเทศถูกเอาเปรียบลงได้
กล่าวคือนโยบายที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนจะต้องเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์มีเสียง
คุณทักษิณซึ่งตอนนี้ก็อายุใกล้
60
แล้วและมีความสุขดี ยิ่งตอนนี้มีความสุขมากขึ้นกับทีมฟุตบอล
Manchester City
ผมจึงไม่แน่ใจว่าคุณทักษิณจะอยากสวมบทบาทนี้
ท่านสนุกกับการเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย
แต่ท่านบอกว่าถ้าเจ้าของเขาไม่ชอบสิ่งที่ท่านทำ
ผู้จัดการมืออาชีพอย่างท่านก็สามารถไปทำงานให้บริษัทอื่นได้
ทัศนคติเดิมๆนี้ ไม่ค่อยจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
ดังนั้นการเป็นผู้นำแบบใหม่ที่ผมพูดถึงนั้นควรจะต้องเป็นผู้บุกเบิกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ถาม
คุณพูดถึงความจำเป็นในการมีผู้นำ
จะไม่เป็นการดีที่สุดหรือถ้าประเทศไทยมีผู้นำประเทศที่ค่อนข้างอ่อน
แต่มีการเมืองระดับท้องถิ่นที่ไม่หยุดนิ่งและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนั้น
การที่คุณรอให้มีผู้นำที่จะมาให้ความช่วยเหลือ
ก็เท่ากับว่าคุณกำลังคิดถึงสิ่งเดียวกับการอุปถัมภ์
ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ตอบ
ไม่ครับ ผมไม่ได้กำลังรออัศวินม้าขาวมาช่วยพวกเรา
ผมกำลังบอกว่าขณะนี้เป็นสภาวะของการไม่มีอัศวินม้าขาว
ผมกำลังพูดในสิ่งที่ตรงกันข้าม
ขณะนี้เป็นสภาวะของการไม่มีอัศวินม้าขาวและสถานการณ์ปัจจุบันก็จะไม่จบเหมือนเมื่อเดือนพฤษภาคม
2535
ไม่มีใครที่จะทำให้มันจบลงได้
เพราะทุกคนมีส่วนร่วมทั้งนั้น
คุณเห็นไหมว่า ไม่มีกรรมการตัดสิน
ดังนั้นอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้
แต่ผมเดาว่าต้องอาศัยมือหนักๆ ของคนบางคน ตัวอย่างเช่น
พลเอกสะพรั่ง
พลตำรวจเอกเสรีพิสุทธิ์
แล้วคุณก็จะเห็น
ที่จริงพวกเขาควรจะแต่งตั้งบุคคลที่เป็นเผด็จการมากที่สุดให้ดำรงตำแหน่งที่ต้องทำให้เป็นประชาธิปไตย
แล้วเราก็อาจจะได้เห็นอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อเกิดการปฏิวัติ
มักจะไม่มีใครรู้จักผู้นำ
ดังนั้นผมจึงไม่ทราบว่าใครจะมาเป็นผู้นำ
ถาม
คุณจักรภพ
คุณพูดถึงความพยายามของคุณทักษิณที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
คุณช่วยเล่าให้พวกเราฟังได้ไหมว่า
คุณทักษิณกำลังวางแผนที่จะทำอะไรตอนที่มีโทรศัพท์จากเมืองไทยขอไม่ให้เขาเคลื่อนไหว
ตอบ
ผมเข้าคุกมาครั้งหนึ่งแล้ว
และผมจะพยายามที่จะไม่ทำให้ตัวเองต้องทำเช่นนั้นอีก
สิ่งที่ผมจะพูดได้ในที่นี้คือ
ท่านไม่ได้เป็นคนต้นคิดเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น
พวกเราบางคนต้องการทำเช่นนั้น
และเราได้ทาบทามบางประเทศซึ่งผมไม่อยากเอ่ยชื่อ
แต่ไม่ต่ำกว่า
10
ประเทศ ในคืนนั้น
ถามว่าพวกเขาจะรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของเราหรือไม่
และพวกเขาบอกว่า จะรับรอง
ถ้าท่านเดินหน้าต่อไปเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น
ผมคิดว่าท่านจะทำสำเร็จ แต่นั่นคือประโยคที่มีคำว่า “ถ้า”
ใครเป็นคนโทรศัพท์ไป ผมขอโทษผมเปิดเผยในที่นี้ไม่ได้แต่เรา.....
ถาม
ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว “ป” หรือเปล่า
ตอบ
(หัวเราะ)
ที่จริงมันก็เป็นแบบนั้นแหละ
โทรศัพท์ครั้งนั้นทำให้ท่านเปลี่ยนความคิดในตอนนั้น
ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ท่านจะออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทางสถานีโทรทัศน์
อสมท. ช่อง 9 เวลาประมาณ 21.20 นาฬิกา ก่อนนั้นไม่นาน
ผมอยู่ในกรุงเทพฯ
เพราะเราก็ระแคะระคายว่าอาจเกิดเหตุการณ์บางอย่าง
แต่อย่างไรก็ตาม ท่านก็ต้องเดินทางไป
ต่อจากนั้นท่านบินจากนิวยอร์กมาลอนดอน
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ลอนดอนถ้าเทียบกับสหประชาชาติ
ดังนั้นผมจึงทราบว่าท่านล้มเลิกความคิดนั้นแต่มันไม่ได้มีที่มาจากท่าน
ถาม
(ปีเตอร์)
คุณจักรภพ ผมจำไม่ได้ว่าคุณใช้คำว่าอะไร คุณพูดคล้ายๆ คำว่า
“ละเมอเดิน”
ตอนที่บรรยายถึงพัฒนาการของคุณทักษิณในฐานะที่เป็นวีรบุรุษแห่งประชาธิปไตย
คุณช่วยขยายความให้ละเอียดขึ้นได้ไหม
คุณคิดว่าคุณทักษิณมีความสนใจที่จะส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทยจริงหรือ
มิใช่ว่าเขาเพียงแต่ผูกขาดระบบอุปถัมภ์เท่านั้นหรือ
และถ้าเขาละเมอเดินในบทบาทของวีรบุรุษประชาธิปไตยอย่างที่คุณกำลังบรรยายอยู่นี่
เขาเป็นนักประชาธิปไตยจริงหรือเปล่า
เขาเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือเปล่า
ไม่ใช่ว่าเขาเป็นวีรบุรุษโดยบังเอิญ
ซึ่งเราคิดว่าคุณกำลังพยายามโฆษณาอยู่หรือ
ตอบ
ท่านเป็นผลิตผล ผลิตผลของระบบอุปถัมภ์และระบบเผด็จการ
ผู้ซึ่งพยายามที่จะเป็นประชาธิปไตยให้มากกว่าที่ท่านอาจเคยเป็น
ท่านต่อสู้ตลอดเวลาระหว่างการเป็นนักธุรกิจแบบเสรีนิยมและการเป็นนายตำรวจ
เป็นความขัดแย้งภายในตัวของท่าน ซึ่งคุณควรคุยกับ...ไม่ใช่ผม
แต่ประเด็นก็คือท่านดีพอที่ผมจะทำงานด้วย เพราะผมต้องการคนบางคน
เราต้องการคนที่จะนำทางเราไปสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ถ้าประเทศไทยยังถลำลึกอยู่ในระบบอุปถัมภ์ตามที่พวกคนเก่าๆ
ทำให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษา
ทำไมเราจะต้องมีโรงเรียน หานายสักสองสามคนแล้วคุณก็จะสบาย
เพราะอย่างไรก็ตาม
คุณก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้การศึกษาและความรู้ของคุณ
ถ้าคุณต้องการมีประเทศที่เต็มไปด้วยประชาชนที่มีพลังและประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
คุณต้องจัดหาเวลาที่เท่าเทียมกันให้พวกเขา - ผมหมายความว่าพวกคุณ
-
เพื่อให้สามารถแสดงความคิดเห็นและความต้องการของตัวเองออกมาได้ในสังคมนั้น
เพื่อที่จะตอบคำถามของปีเตอร์
ผมเชื่อว่าคุณทักษิณพยายามที่จะเป็นประชาธิปไตย
คนรุ่นเดียวกับท่านแทบจะไม่เป็นประชาธิปไตย
แม้แต่นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็กลายเป็นเผด็จการเมื่อคุณทำงานใกล้ชิดกับพวกเขา
นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยบางคนในประเทศไทยทุบตีภรรยา ซึ่งแย่มาก
ประชาธิปไตยแบบไหนกัน
ดังนั้นมันคือการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยและเผด็จการซึ่งคุณทักษิณและคนรุ่นเดียวกับท่านต้องทำ
ผมไม่กล้าที่จะพูดว่าท่านเป็นอะไร
แต่ผมกำลังบอกว่า
เมื่อผมพูดว่าท่านละเมอเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบาย
ผมหมายความว่า
ท่านมิได้ตั้งใจที่จะรวบอำนาจจากระบบอุปถัมภ์เก่า
ท่านไม่ทราบว่าสงครามกำลังดำเนินอยู่
ท่านไม่ทราบว่าคนบางคนเป็นเจ้าของประชาชนที่ยากจน
ท่านจึงโพล่งคำบางคำออกมาโดยที่ไม่ทราบว่าจะทำให้คนที่ได้ยินเจ็บใจแค่ไหน
ท่านเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งก่อนที่ผมจะมาทำหน้าที่โฆษกว่า
“ผมเบื่อพวกนายหน้าคนจน”
พวกที่ชอบพูดถึงคนจนและความยากจนตลอดเวลา
แต่ไม่เคยทำอะไรซักอย่าง
คุณรู้ไหมว่าคุณไม่สามารถให้จิตใจคนแทนที่จะให้ชีวิตที่ดีกว่าได้
คุณไม่สามารถให้โครงการที่ต้องการผลลัพธ์ นั่นคือวิธีที่ท่านคิด
ซึ่งเป็นเหตุให้ผมคิดว่าบางครั้งละเมอเดิน
ในแง่ที่ว่าท่านไม่ทราบว่าจะเกิดผลกระทบจากสิ่งที่ท่านทำ
แต่ต่อมาท่านก็ตระหนักว่าสิ่งที่ท่านทำ ทำให้เกิดผลกระทบ
ดังนั้นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงที่จริงก็คือความเป็นผู้นำร่วมกัน
ทักษิณไม่ใช่เผด็จการ
ผมทำงานกับท่านมาและผมจะเป็นคนแรกที่ก้าวออกห่างจากท่านถ้าท่านเป็นเผด็จการ
แต่ท่านเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มุ่งมั่นอยู่กับ...
และพยายามที่จะทำงานให้สำเร็จ
ไม่เคยมีผู้นำของไทยคนไหนที่เป็นแบบนี้
ดังนั้นมันจึงเป็นเผด็จการในความคิดของประชาชน
เพราะคุณมุ่งมั่นอยู่กับ ...
คุณยืนกรานว่าจะต้องทำให้ได้ภายใต้การเป็นผู้นำของคุณ
ซึ่งก็ถูกคนบางคนตีความว่าเป็นเผด็จการ
แต่ถ้าคุณได้พบท่านได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน คุณจะทราบว่าท่านไม่ใช่
ท่านไม่มีเมล็ดพันธุ์นั้นอยู่ในตัวของท่าน
ผมไม่ได้บอกว่าท่านเป็นซุปเปอร์แมน
แต่ท่านดีกว่าผู้นำแก่ๆ ที่มีคนบอกให้ผมเคารพ
ผมอยากที่จะทำงานภายใต้สามัญชนที่ดีเพียงครึ่งเดียวมากกว่าที่จะทำงานให้กับผู้สูงศักดิ์ที่โง่
ถาม
(ไซมอน)
คุณจักรภพ
คุณจะลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่
23 ธันวาคม หรือเปล่า ถ้าลงจะเข้าร่วมกับพรรคใด
และคุณบอกได้ไหมว่าพรรคนั้นเป็นตัวแทนของอะไรหรือจะทำอะไรให้ประเทศไทย
ถ้าคุณตัดสินใจว่าคุณจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้
เนื่องจากคุณรณรงค์ต่อต้านรัฐธรรมนูญ
คุณจะทำอะไรในลักษณะอื่น เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมืองของคุณ
ตอบ
ขอบคุณคุณไซมอน เราได้ 377
ที่นั่งในสภาแล้วเราก็ถูกยึดอำนาจ
ดังนั้นการชนะการเลือกตั้งอาจไม่ใช่ประเด็นหลัก
ดังนั้นพวกเราทุกคน
พวกเราบางคนซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ที่สนามหลวงกำลังพิจารณากันว่าเราควรลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่
ถ้าเราลงสมัครรับเลือกตั้งก็หมายความว่าเราต้องมีเวทีใหม่ที่จะแสดง
การรณรงค์หาเสียงสำหรับเราก็จะเป็นเวทีสนามหลวงอีกเวทีหนึ่ง
แต่ถ้าเราไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งก็หมายความว่า
เราจะหาอะไรทำนอกกระบวนการเลือกตั้งเพื่อปกป้องระบบของมันให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้
เราไม่ได้ยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์อะไร แต่เราจะพยายาม
พรรคที่เราจะสังกัดก็ไทยรักไทยอะไรก็ได้ อาจเป็นไทยรักจีน
ผมจะสังกัดพรรคนั้นแหล่ะ
ถาม
(ปีเตอร์)
ผมแบ่งคำถามสำหรับคุณทั้งสองคน จากที่เราอ่านพบ
พรรคพลังประชาชนมี ส.ส. เก่าของพรรคไทยรักไทยจำนวนมาก
และผมเดาว่าก็จะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ผมมี 2 คำถาม 1.
คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพื่อที่จะสกัดไม่ให้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง
และ 2.
คุณทั้งสองคิดอย่างไรกับการที่พรรคที่มีสมัครเป็นหัวหน้าพรรคอาจได้เป็นรัฐบาล
ตอบ
ผมอยากให้แน่ใจว่าฟังคำถามของคุณถูกต้อง คำถามแรก
อะไรจะมาขัดขวางไม่ให้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง
ถาม
อะไรจะมาขัดขวาง จะมีการทำอะไรที่จะสกัดไม่ให้ชนะ
ตอบ
เล่ห์เหลี่ยมของอีกฝ่ายหนึ่ง....
ถาม
ใช่ และคำถามที่ 2
คุณทั้งสองคิดอย่างไรกับพรรครัฐบาลภายใต้การนำของสมัคร
เขาเป็นคนอย่างไร
ตอบ
สำหรับคำถามแรก
พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะจัดสรรงบประมาณลงในภาคอีสาน
พวกเขามีคนอย่างอดีต ส.ส. พรรคไทยรักไทย นายวิวัฒนชัย ณ
กาฬสินธุ์ ซึ่งออกมาประกาศว่าเขาจะตั้งกลุ่มอีสาน
และพยายามที่จะยึดคะแนนเสียงให้ได้มากที่สุดจากพรรคพลังประชาชนหรือพรรคไทยรักไทยเดิม
เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ – ผมไม่รู้สิ –
อาจมีอีกมาก แต่ผมคิดว่าเล่ห์เหลี่ยมสำคัญคือ
การประณามทักษิณว่าเป็นคนสารเลว พวกเขาจะยังคงทำต่อไป
และอะไรก็ตามที่ผมคิดว่าครอบคลุมเรื่องนี้
สำหรับคำถามที่ 2 สมัครมาจาก – จาก –
ถ้าคุณใช้วิธีการคิดแบบตะวันตก
คุณจะตราหน้าว่าสมัครเป็นพวกขวาจัด แต่ถ้าคุณดูท่านให้ดี
และติดตามเรื่องราวของท่าน
คุณจะพบว่าท่านอยู่ในระบบอุปถัมภ์อย่างชัดเจน
ผมหมายความว่าท่านเป็นอนุรักษ์นิยมสุดกู่
ซึ่งยอมที่จะสละตำแหน่งง่ายๆ ถ้าถูกขอร้อง นั่นคือคุณสมัคร
แต่แล้วท่านก็ตัดสินใจที่จะปกป้องทักษิณเมื่อท่านอายุ 70 ต้นๆ
ท่านอายุ 70 กว่าแล้วนะทราบไหม ท่านไม่ใช่นักการเมืองหนุ่มแล้ว
แต่ท่านก็ตัดสินใจกระโดดเข้ามาปกป้องทักษิณในครั้งนี้
|